
ในภาคการเกษตร ต้นทุนบางตัวยังไม่เคยถูกนับรวมอยู่ในนั้น
“งานวิจัยใหม่เผย การทำเกษตรแบบดั้งเดิมสร้างความสูญเสียมากกว่ารายได้—ขณะที่เกษตรแบบหมุนเวียนให้ผลทางตรงข้าม”
อุณหภูมิที่สูงขึ้นกำลังลดมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของครัวเรือนไทยอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี งานวิจัยพบว่าหนึ่งในทางออกคือ การทำเกษตรที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ (agricultural diversification) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบด้านรายได้จาก 31.6% เหลือราว 19.3% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผลกระทบทั้งหมด
งานศึกษาในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่า ‘ต้นทุนแฝง’ ของภาคเกษตรไทยอยู่ในระดับที่สูงมาก กล่าวคือต้นทุนที่นับรวมถึงมลพิษทางอากาศ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพ โดยหากประเมินเป็นตัวเลขจะพบว่าในทุกการผลิตข้าวจำนวน 100 บาท มาพร้อมต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมราว 214 บาท และรุนแรงขึ้นกว่าสามเท่าในการปลูกอ้อยโดยสูงถึง 656 บาท
งานวิจัยดังกล่าวได้จำลองฉากทัศน์การทำเกษตรในรูปแบบต่างๆ ก่อนพบว่า ในจังหวัดกาญจนบุรีเพียงจังหวัดเดียว การทำเกษตรแบบที่ภาคเกษตรไทยทำมาตลอด (Business-as-Usual: BAU) ก่อความเสียหายรวมกว่า 5,310 ล้านบาท/ ปี ขณะที่การทำเกษตรแบบหมุนเวียนกลับให้ผลตรงกันข้าม โดยงานวิจัยดังกล่าวพบว่า
- การนำขยะเกษตรมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ช่วยลดความเสียหายลงได้ 57%
- การนำขยะการเกษตรมาใช้ทำอาหารสัตว์ ช่วยลดความเสียหายได้ถึง 137%
- การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานชีวมวลช่วยลดความเสียหายได้ 63%
งานวิจัยนี้ชี้ชัดว่าเกษตรหมุนเวียนไม่เพียง ‘สะอาดกว่า’ แต่ยัง ‘ถูกกว่า’
แต่แม้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า การเกษตรแบบหมุนเวียนกลับไม่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและสถาบันการเงินอย่างเพียงพอ อีกทั้งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมกลับยังไม่ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการทำเกษตรกรรม

เมื่อเงินทุนลืมเลือนผืนดิน
“เงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศกำลังหมุนเวียน แต่กลับไม่ได้ไหลไปสู่จุดที่ผืนดินเรียกร้อง”
ประเทศไทยประกาศเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 อย่างไรก็ดี การจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เงินทุนสูงถึง 5 ล้านล้านบาท โดยจากเงินทุนจำนวนนั้นถูกตั้งไว้แก่ภาคคมนาคม 4.5 ล้านล้านบาท และอีก 470,000 ล้านบาทสำหรับพลังงาน
คำถามสำคัญคือ ภาคเกษตรอยู่ตรงไหนในสมการนี้ ?
ถึงแม้ภาคเกษตรไทยจะมีสัดส่วนเศรษฐกิจเพียง 8.6% ของ GDP แต่ชีวิตแรงงานถึงเกือบ 30% ของประเทศสัมพันธ์อยู่กับภาคส่วนเศรษฐกิจนี้ พวกเขากำลังเผชิญความเประบางอย่างถึงที่สุดจากภัยแล้ง น้ำท่วม และน้ำเค็มรุกล้ำที่จะรุนแรงและต่อเนื่องขึ้นภายใต้โลกใบใหม่
ถึงอย่างนั้น เงินทุนในการรับมือภาวะโลกรวนสำหรับภาคเกษตรไทยกลับยังมีน้อยและกระจัดกระจาย โดยระหว่างปี 2017–2022 กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินแผนยุทธศาสตร์ด้านภูมิอากาศภายใต้งบประมาณเพียง 1,150 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งถูกใช้ไปกับโครงการปรับตัวเพื่อเสริมศักยภาพเกษตรกรในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ยิ่งเมื่อเทียบงบประมาณที่ภาคเกษตรได้รับกับงบประมาณด้านยานยนต์ไฟฟ้า ที่รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเงินกว่า 360,000 ล้านบาทเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน (โดยคาดว่าอย่างน้อย 100,000 ล้านบาทจะถูกใช้ก่อนปี 2030) ยิ่งสะท้อนช่องว่างทางการเงินระหว่างการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวนและการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย
เงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ หยดน้ำฝนในผืนมหาสมุทร
“ความช่วยเหลือจากต่างชาติช่วยได้ แต่ยังน้อย กระจัดกระจาย และห่างไกลจากสิ่งที่ภาคเกษตรต้องการ”
เมื่องบประมาณด้านภูมิอากาศภายในประเทศแทบไม่ไหลลงสู่ภาคเกษตร ภาคเกษตรไทยจึงต้องหันมาพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่ออุดช่องว่างนี้ อย่างไรก็ดี ความช่วยเหลือดังกล่าวยังนับว่าไม่เพียงพอและยังไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเกษตรไทย โดยระหว่างปี 2020–2022 ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากต่างประเทศ อาทิ ผู้บริจาค, ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่งประเทศ และกองทุน Green Climate Fund (GCF) สำหรับโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 34 โครงการ รวมมูลค่า 83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,641 ล้านบาท)
ถึงแม้ เงินทุนก้อนดังกล่าวจะช่วยเติมเต็มช่องว่างด้านเงินทุนและช่วยสนับสนุนหลายโครงการในภาคเกษตร แต่เมื่อเทียบกับเงินทุนที่จำเป็นพื่อพลิกโฉมภาคเกษตรไทยให้สามารถรับมือภาวะโลกรวนแล้ว ยังถือว่าห่างไกล
สิ่งที่ภาคเกษตรไทยต้องการคือ การลงทุนระยะยาวในระดับโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรของประเทศ เงินทุนที่ไทยได้รับจากต่างประเทศจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่าการปิดแผลใหญ่ด้วยพลาสเตอร์

แผนแม่บทนโยบาย: วางกรอบ ตอกเสาเข็ม ดึงเงินทุนเพื่อเกษตรไทย
“Taxonomy ฉบับใหม่นับรวมภาคเกษตรเข้าไว้แล้ว ดังนั้น โจทย์ใหญ่ต่อไปคือการปลดล็อกเงินทุน”
ในปี 2025 ประเทศไทยได้เปิดตัว Sustainable Finance Taxonomy Phase II ที่ครอบคลุมภาคเกษตรเป็นครั้งแรก โดยได้นิยามว่าอะไรคือกิจกรรมด้านการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การจัดการมูลสัตว์ จนถึงการทำปุ๋ยหมัก เช่น วิธี Alternate Wetting and Drying (AWD) ในการทำนาข้าว หรือการเปลี่ยนมูลสุกรเป็นก๊าซชีวภาพ
ถึงแม้การออก Taxonomy ฉบับนี้จะล่าช้าไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นการปักเสาเข็มที่ชัดเจนให้กับเงินทุนในการไหลเข้าสู่ภาคเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี ความท้ายทายต่อไปคือการนำแนวทางดังกล่าวไปปฏิบัติ โดยหากเกษตรกรต้องการทำให้โครงการของตนสอดคล้องกับ taxonomy สามารถเลือกได้สองเส้นทาง:
- จัดทำแผนการทำฟาร์มแบบผสมผสาน (Integrated Farm Management Plan หรือ IFMP) ที่แสดงถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและการนำวิถีเกษตรแบบยั่งยืนอย่างน้อยสองรูปแบบไปปฏิบัติ (โดยกำหนดว่าต้องมีระดับกลางหรือสูงหนึ่งรูปแบบ)
- ขอใบอนุญาตรับรองมาตรฐานสากล เช่น Global GAP หรือ IFOAM Organic ซึ่งจะทำให้ทั้งเงินลงทุนและรายได้จากฟาร์มถือว่าสอดคล้องกับ Taxonomy เป็นเวลา 2 ปี
ทั้งสองวิธีข้างต้นชัดเจนแต่ไม่ง่ายในการปฏิบัติ โดยเฉพาะกับเกษตรกรรายย่อยที่ส่วนใหญ่ไม่รู้จักแนวคิดการทำเกษตรแบบผสมผสาน และการขอใบรับรองมาตรฐานระดับสากลก็เป็นภาระที่ต้องใช้เงินมากเกินไป
ดังนั้น หาก Taxonomy ต้องการเป็นมาตรฐานให้เกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง จำเป็นต้องมีการช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน ทั้งสนับสนุนด้านเทคนิค การฝึกอบรมให้ความรู้ รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินแก่เกษตรกรไปพร้อมกัน หน่วยงานภาครัฐต้องแปลงกรอบนโยบายที่ซับซ้อนให้กลายเป็นคู่มือที่ใช้งานง่ายสำหรับเกษตรกร ขณะที่สถาบันการเงินต้องร่วมออกสินเชื่อสีเขียวเพื่อให้เกษตรกรมีทรัพยากรที่เพียงพอในการเปลี่ยนผ่านสู่การทำเกษตรรูปแบบใหม่
ปราศจาการการสนับสนุนข้างต้นแล้ว Taxonomy อาจกลายเป็นเพียงเอกสารที่ฝุ่นจับอยู่บนหิ้ง ขณะที่เกษตรกรไทยยังทำการเกษตรแบบเดิมอยู่ในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เพื่อปกป้องห่วงโซ่อาหารของไทยและโลก
“การเปลี่ยนผ่านที่ไม่อาจทิ้งภาคเกษตรไว้ข้างหลัง”
ข้อมูลที่เรามีอยู่ในมือชี้ชัดแล้วว่า การทำเกษตรแบบเดิมส่งผลกระทบมากกว่าที่เราคิด การเผาซังข้าวหรือทำลายคุณภาพดิน ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
ขณะเดียวกัน ข้อมูลที่เรามีในมือชี้ชัดเช่นกันว่า ภาคเกษตรมีทางออกที่สะอาดกว่าและถูกกว่า เพียงแต่ยังไม่ได้รับโอกาสจากข้อจำกัดด้านการเงิน
ข้อความข้างต้นไม่ใช่การโบ้ยความผิดให้เกษตรกร เพราะตราบใดที่งบประมาณรัฐยังเทไปที่ถนนมากกว่าทุ่งนา ความช่วยเหลือจากต่างประเทศยังไม่เพิ่มสูงขึ้น และภาคเกษตรส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างแท้จริง การบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับปกป้องห่วงโซ่อาหารของประเทศ อาจยังเป็นได้เพียงแค่ภาพฝัน
ดังนั้น การเกษตรแบบหมุนเวียนว่าจึงไม่ใช่เพียง ‘ความยั่งยืน’ แต่นี่คือ ‘โอกาสทางการเงิน’ ที่จะย้ายเงินทุนสู่จุดที่แก้ไขปัญหาได้จริงๆ
สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ในเรื่องนี้คือ ความน่าเชื่อถือคือกุญแจสำคัญ เงินทุกบาทที่ลงทุนในการรับมือกับภาวะโลกรวนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ ต้องมีการจัดทำข้อมูลที่เปิดเผย แม่นยำ และมีการติดตามที่ชัดเจนเพราะนั่นหมายถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าเงินไปที่ไหน เราก็ไม่อาจบอกได้ว่าเงินไปถึงจุดที่สำคัญจริงหรือไม่