
- เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกของงบประมาณที่กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยใช้ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
- เวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย’ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนจาก ธนาคารโลก สถาบัน Singapore Green Finance Centreประเทศสิงคโปร์ และ Greenovation Hub ประเทศจีน
กรุงเทพ, 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 — เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568 เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) องค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Bangkok Climate Action Week 2025 โดยจัดงาน ‘พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน’ เพื่อนำเสนอข้อค้นพบจาก Thailand’s Climate Finance Landscape และร่วมแลกเปลี่ยนถึงความสำคัญของการเพิ่มเงินทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อภาวะโลกรวนกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนระดับนานาชาติ
กิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อยอดข้อค้นพบจากงานวิจัย Climate Finance Tracker เครื่องมือติดตามกระแสเงินทุนที่ถูกใช้รับมือกับภาวะโลกรวนที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเครื่องมือนี้เกิดขึ้นเพื่อฉายภาพภูมิทัศน์การเงินของประเทศไทยที่ใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน เพื่อสะท้อนให้เห็นช่องว่างด้านเงินทุนที่ขาดหายไปในการรับมือกับภาวะโลกรวนของประเทศไทย และนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการเติมเต็มช่องว่างด้านเงินทุนดังกล่าว
“ภาวะโลกรวนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่มีความแออัดสูงอย่างกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกลับยังขาดเงินทุนอีกจำนวนมากในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อภาวะโลกรวน” สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) กล่าว “CFNT หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลจาก Climate Finance Tracker จะช่วยจุดประกายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการขับเคลื่อนเงินทุนให้ถูกนำมาใข้เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่อื่นๆ ในทวีปเอเชียให้ยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ”
พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน
ภายในงาน ‘พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน’ เริ่มต้นด้วยการนำเสนอจาก
ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) โดยเน้นถึงข้อมูลจาก Thailand’s Climate Finance Landscape ที่พบว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 – เดือนพฤษภาคม
พ.ศ. 2568 ประเทศไทยทุ่มเงินราว 1.7 ล้านล้านบาทเพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่ข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2567 พบว่า ประเทศไทยลงทุนในการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวนราว 148,096 ล้านบาทเท่านั้น
หากขยายภาพการลงทุนลงไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย โดยที่ไม่นับรวมกรุงเทพมหานครพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้งบประมาณเพื่อดำเนินโครงการที่ลดก๊าซเรือนกระจกเพียง 8,732 ล้านบาท หรือราว3.5% ของงบประมาณที่ลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมด ขณะที่ในด้านการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุ่มเงินเพียงแค่ 1,467 ล้านบาท หรือน้อยกว่า 1% ของงบประมาณที่ลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมด
ขณะที่ข้อมูลจากกรุงเทพมหานครที่ CFNT ได้รับภายหลังระบุว่า ในปี พ.ศ. 2568 กรุงเทพมหานครได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศรวมทั้งสิ้น 20,240 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% ของงบประมาณทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 13,142 ล้านบาท การปรับตัวต่อภาวะโลกรวน 6,273 ล้านบาท และการป้องกันผลกระทบภาวะโลกรวน 470 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนอีกอย่างน้อย 10.3 ล้านล้านบาทในการลดก๊าซเรือนกระจก สะท้อนว่ายังมีช่องว่างทางการเงินอีกมหาศาลที่ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยอาจสูญเสียมากถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี หากยังไม่มีการเพิ่มศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับภาวะโลกรวน
การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย
ภายหลังการนำเสนอข้อค้นพบจากงานวิจัย CFNT เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย’ โดยได้รับเกียรติจาก ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการเงิน ธนาคารโลก นิกกี้เคมป์ ผู้อำนวยการสถาบัน Singapore Green Finance Centre ประเทศสิงคโปร์ และ กัว ฮงยู รองผู้อำนวยการGreenovation Hub ประเทศจีน ร่วมแลกเปลี่ยนถึงความท้าทายในการขับเคลื่อนเงินทุนเพื่อเปลี่ยนให้กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่อื่นๆ ในทวีปเอเชียให้มีความยืดหยุ่นต่อภาวะโลกรวน
“หนึ่งในคอขวดสำคัญที่ทำให้การเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนยังไม่สามารถขยายตัวได้ คือการขาดแคลนโครงการที่สร้างสรรค์และน่าเชื่อถือในการลงทุน นักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนและมักมองหาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เรายังมีโอกาสอีกมากในการดำเนินโครงการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (nature-based solutions) การจัดการน้ำ หรือแม้แต่โครงการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น การรับมือกับปัญหาคลื่นความร้อน หากโครงการเหล่านี้เกิดมากขึ้น จะมีบทบาทสำคัญในการระดมเงินลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศเข้าสู่เมืองของเรา การประชุม IMF–World Bank Group 2026 Annual Meetings ที่จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะแสดงบทบาทนำด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน และแสดงให้โลกเห็นว่านวัตกรรมที่สร้างสรรค์สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนได้อย่างไร”” ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการเงินธนาคารโลกกล่าว
“เมื่อเราพูดถึงเรื่องความยืดหยุ่น (resilience) มันเป็นเรื่องที่ฝังรากอยู่ในระดับท้องถิ่น เราต้องทำการวิจัยและศึกษาโดยตั้งอยู่บนความเป็นจริงและความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่การตีความจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ กรุงเทพฯ ฮานอย หรือลอนดอน หลักการนี้ยังคงเป็นจริงไม่ว่าทุนจะมาจากที่ใดก็ตาม” นิกกี้ เคมป์ ผู้อำนวยการสถาบัน Singapore Green Finance Centre ประเทศสิงคโปร์กล่าว
“ความร่วมมือคือหัวใจสำคัญในการระดมเงินทุนสำหรับการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน เพราะความท้าทายยังคงชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่สูง การขาดแคลนโครงการที่มีศักยภาพทางด้านการเงิน ความยากในการวัดผลลัพธ์เมื่อเทียบกับการลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนการขาดข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ดังนั้น การร่วมมือกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (South-South Cooperation) คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ และสร้างอนาคตที่มีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตภูมิอากาศร่วมกัน” กัว ฮงยู รองผู้อำนวยการ Greenovation Hub ประเทศจีนกล่าว
ผู้ร่วมเสวนาทั้งหมดต่างเห็นตรงกันว่าข้อมูลเชิงลึก นวัตกรรม และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ระบบการเงินของทวีปเอเชียเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และสนับสนุนความยืดหยุ่นปรับตัวต่อภาวะโลกรวน
สำหรับดาวน์โหลดเอกสารนำเสนอ โปรดดู: https://drive.google.com/drive/folders/1rBgVSmlOyXELvCux5-Xp_nZGWIO0_U1A
สำหรับฐานข้อมูลภูมิทัศน์ภาคการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนของไทย หรือ Climate Finance Tracker พร้อมทั้งระเบียบวิธีวิจัยและเอกสารประกอบการนำเสนอ โปรดดู: https://climatefinancethai.com/th/tracker-th
สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
สุทธิพัฒน์ กนิษฐกุล (ตูน)
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กรเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT)
sutthipath@climatefinancethai.com
09-3169-5145