ในโมงยามของความไม่แน่นอน สงครามส่งผลอย่างไรต่อการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนในประเทศไทย ?
ความขัดแย้ง ไทย - กัมพูชา อาจส่งผลต่อการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนอย่างไร และทำไมมันอาจเปลี่ยนอนาคตการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของไทยไปตลอดกาล ?
ความขัดแย้ง ไทย - กัมพูชา อาจส่งผลต่อการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนอย่างไร และทำไมมันอาจเปลี่ยนอนาคตการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของไทยไปตลอดกาล ?
ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัท Omoda & Jaecoo ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีนประกาศยกระดับการลงทุนในไทย หลังจากเพิ่งประกาศเตรียมสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในจังหวัดระยอง หรือพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ EEC) การขยับของ Omoda & Jaecoo เป็นเพียงหนึ่งคลื่นของการลงทุนมหาศาลจากบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน หลังจากการเข้ามาของแบรนด์อื่นๆ ดั่งที่เราเห็นบนท้องถนนในไทยทุกวันนี้ที่คราคร่ำไปด้วย BYD, Great Wall Motor หรือ SAIC Motor ซึ่งล้วนแต่เป็นรถยนต์สัญชาติจีนทั้งนั้น ยังไม่นับรวมโฆษณาในโลกออฟและออนไลน์ หรือโรงงานที่ผุดเป็นดอกเห็ดในพื้นที่ EEC ค่ายรถจีนเหล่านี้ต่างเริ่มจากการครองตลาดภายในประเทศ ก่อนจะขยายตลาดสู่ต่างประเทศด้วยแรงหนุนส่งด้านเงินทุนจากนโยบาย “สามอุตสาหกรรมใหม่” ของรัฐบาลจีน ที่มุ่งส่งเสริมให้ เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์, แบตเตอรี่ลิเธียม และรถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นสินค้าส่งออกใหม่ของประเทศ สถานการณ์การลงทุนของรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนในประเทศไทยเป็นอย่างไร ? มีประเด็นอะไรที่น่ากังวลบ้าง ? และรัฐบาลไทยควรมีนโยบายตอบสนองอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดจากคลื่นการลงทุนครั้งนี้ ? ประเทศไทย รถยนต์ไฟฟ้า และ BRI สาเหตุที่ไทยกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ไม่ใช่เพียงเพราะสิทธิประโยชน์ทางภาษี มาตรการจูงใจและดึงดูดการลงทุน […]
รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนจะช่วยประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมสีเขียวได้แค่ไหน? หาคำตอบได้ในงานสัมมนาออนไลน์ “Can Chinese EV Investment Contribute to Thailand’s Green Transformation?”
สรุปปาฐกถาปิดงาน ‘2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย’ โดยตัวแทนจาก UNEP และ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
หากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกยังไม่พอที่จะทำให้ใครตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้ลองพิจารณาข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นวิตกจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ในรายงาน State of the Global Climate 2024 องค์การ WMO ระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา “มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีของโลกสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิใกล้พื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 1.55 ± 0.13 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 1850-1900” หรือแปลว่าปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปีนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติของ WMO ในรายงานฉบับดังกล่าว ยังได้มีการตอกย้ำถึง “ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสภาพอากาศสุดขั้ว และผลกระทบระยะยาวจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงเป็นประวัติการณ์และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น” ประเทศไทยในภาวะโลกรวน ประเทศไทยคือตัวอย่างหนึ่งของความจำเป็นเร่งด่วนนี้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดอันดับที่ 30 ตามรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน Germanwatch ขณะที่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ประเมินภายใต้สมมติฐานที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสว่า ความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยอาจสูงถึงเกือบ 1 ล้านล้านบาท/ ปี หรือราว 6.6% ของ GDP โดยภาคเกษตรกรรมของไทยจะได้รับความเสียหายสูงถึง 17.5–83.8 […]
เมื่อต้นปี 2025 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการภาษีตลาดครั้งใหญ่ต่อสินค้าส่งออกด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีน ผลกระทบนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะในไทย ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากสินค้าพลังงานสะอาดราคาถูกที่หลั่งไหลจากจีน
As countries transition toward clean energy, what can Thailand learn from Germany and the Philippines about phasing out coal? Join CFNT’s exclusive webinar featuring Suchart Klaikaew, Program Lead for Innovation Regions for a Just Energy Transition (IKI JET) Thailand at Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit (GIZ) GmbH, as we explore the challenges of coal power […]
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2567 เครือข่ายเพื่อพลังงานที่ยุติธรรมสำหรับทุกคนได้จัดงาน “A Better world is Possible: ถกถามแผน PDP2024 เพื่อประชาชนและโลกที่ดีกว่า” ที่หอศิลปกรุงเทพฯ (BACC) เพื่อให้ประชาชนผู้จ่ายค่าไฟฟ้าได้รับรู้ เข้าใจต่อร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าปี 2024
รายงานฉบับนี้ฉายภาพการวิเคราะห์ร่างแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า พ.ศ. 2567 หรือร่างแผน PDP2024 ซึ่งยังคงพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2580 ทั้งที่ประเทศตั้งเป้าว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ร่างแผน PDP2024 ยังเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่อีก 6,300 เมกะวัตต์ รวมถึงใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา เช่น การผสมไฮโดรเจนกับก๊าซเพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors: SMRs) แทนที่จะเร่งพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนกว่าอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ รายงานฉบับนี้ฉายให้เห็นต้นทุนแฝงที่มาพร้อมกับการปล่อยคาร์บอน ความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติเหลว และค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อพัฒนาระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน เรามองว่าทางเลือกที่เหมาะสมกว่าคือการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเร่งด่วนซึ่งจะช่วยลดต้นทุนพลังงาน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยกำหนดไว้ในเวทีโลก หากไทยต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องปรับวิธีคิดในการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าโดยมองไปข้างหน้า มากกว่าพยายามต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีในปัจจุบันซึ่งกำลังจะล้าสมัยในอนาคตอันใกล้
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เคยยึดติดกับความคิดที่ว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นทางเลือกราคาแพงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือวันที่รัสเซียตัดสินใจรุกรานยูเครนที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดก๊าซทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเป็นสัดส่วนสูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตก๊าซเองได้บางส่วน แต่ราคาจำหน่ายเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าก็ผันผวนไปตามตลาดโลก นี่คือสาเหตุที่ราคาไฟฟ้าไทยพุ่งทะลุไปเกิน 5 บาทต่อหน่วยซึ่งนับว่าสูงเป็นประวัติการณ์! ในฐานะนักการเงิน ผมพยายามหาทางออกในระยะยาว แต่น่าเสียดายที่ตลาดไฟฟ้าของไทยเป็นระบบผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ จึงถูก ‘มัดมือชก’ ทำให้มีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือคือต้องหาทางผลิตไฟฟ้าด้วยตนเอง ผมจึงหันมามองศึกษาต้นทุนการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันเพื่อประกอบการตัดสินใจ แม้ว่าภาพจำของพลังงานแสงอาทิตย์คือการที่รัฐรับซื้อในราคามากกว่า 6 บาทเมื่อราวทศวรรษก่อน แต่เชื่อไหมครับว่าต้นทุนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ถูกลงมาก องค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency) ประมาณการว่าต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงถึง 83 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2010–2022 และถ้าหันไปดูราคารับซื้อของรัฐไทยเอง ก็พบว่าหล่นลงมาอยู่ที่ 2.20 บาท เท่ากับว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อหน่วยย่อมต่ำกว่าตัวเลขดังกล่าวอย่างแน่นอน แต่ต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงสักบาทแบบนี้จะต้องคำนวณต้นทุนอย่างไร? ด้วยความฉงนสงสัย ผมก็ไปค้นจนได้คำตอบคือคำนวณจาก ‘ต้นทุนไฟฟ้าปรับระดับ’ (Levelized Cost of Energy) หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า LCOE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบว่าต้นทุนไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานใดราคาต่ำกว่ากัน LCOE คำนวณอย่างไร การผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น แม้จะได้ ‘ไฟฟ้า’ เป็นผลผลิตเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างสำคัญคือพลังงานหมุนเวียนไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าฟอสซิลต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงซึ่งมีราคาผันผวนตลอดเวลา เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าโรงไฟฟ้าใดต้นทุนต่ำกว่า […]