
ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากภาวะโลกรวน แม้จะขยับอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศมากที่สุดจากอันดับ 3 เป็นอันดับ 30 จากการประเมินของ Climate Risk Index แต่ผลกระทบยังคงรุนแรง ไม่ว่าเหตุการณ์น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือการกัดเซาะชายฝั่งทั้งทะเลและแม่น้ำ
ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยตื่นตัวและเริ่มออกแผนงานเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ สังเกตได้จากการที่รัฐและเอกชนต่างทุ่มทุนเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและรับมือกับภาวะโลกรวน
แต่หนึ่งในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นคือ ภาพการติดตามการเงินที่ครบถ้วนสมบูรณ์และการจัดเก็บข้อมูลกระแสเงินทุนอย่างเป็นระบบ เห็นได้จากข้อมูลด้านเงินทุนเพื่อสนับสนุนการรับมือกับโลกรวนที่จัดเก็บอย่างกระจัดกระจาย หรือซุกซ่อนอยู่ตามแหล่งทุนใดแหล่งทุนหนึ่ง จนยากที่จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าปัจจุบันไทยได้รับการสนับสนุนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนเป็นมูลค่าเท่าใด ลงทุนในภาคเศรษฐกิจใดบ้างและสามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายหรือไม่
“คุณไม่สามารถบริหารจัดการในสิ่งที่คุณยังไม่เคยวัดผล” ปีเตอร์ ดรักเกอร์
สาเหตุนั้นเองจึงเป็นที่มาที่ทำให้เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand หรือ CFNT) ใช้เวลาราว 1 ปีในการเก็บรวบรวมข้อมูลและจัดทำเครื่องมือ Thailand Climate Finance Tracker ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และฉายภาพภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อนรับมือกับภาวะโลกรวนของไทยเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ก่อนจะเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมาในงาน ‘2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย’ โดย CFNT คาดหวังให้เครื่องมือดังกล่าวเป็นฐานข้อมูลอ้างอิงสำคัญ และเป็นแกนกลางที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่ทำงานด้านความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ด้วยกัน
เครื่องมือดังกล่าวคืออะไร? ทำไมประเทศไทยถึงต้องจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ? และมีเรื่องราวที่น่าสนใจอะไรจากการทำวิจัยครั้งนี้? ติดตามได้จากสรุป 6 เรื่องราวน่าสนใจใน Climate Finance Landscape จาก CFNT
ทำไมต้องมีเครื่องมือ Thailand Climate Finance Tracker
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่ามนุษย์เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น โดยข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาโลก (WORLD METEOROLOGICAL ORGANIZATION) ระบุว่าอุณหภูมิโลกได้สูงทะลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปแตะ 1.52 องศาเซลเซียสเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นผลจากฝีมือมนุษย์ราว 1.38 องศาเซลเซียส

ผลกระทบจากภาวะโลกรวนมีให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยใน พ.ศ. 2567 สหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะฝนถล่มจากพายุทอร์นาโดมากถึง 1,796 ลูก สเปนเผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 232 ราย เห็นได้ชัดว่าภัยธรรมชาติไม่ว่าภัยแล้ง ฝนถล่ม หรือคลื่นความร้อนส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วทุกมุมโลก
สำหรับผลกระทบของภาวะโลกรวนในไทย สำนักงานประเมินความเสี่ยง Swiss Re คาดการณ์ว่าในกรณีที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นระหว่าง 2 – 2.6 องศาเซลเซียส ภายใน พ.ศ. 2591 ประเทศไทยจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1 ใน 3 หรือราว 33.2% ของ GDP และถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับที่เลวร้ายที่สุดหรือราว 3.2 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจะเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 43.6% ของ GDP
แม้ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะตื่นตัวในประเด็นนี้และมีความพยายามออกแผน NDC 3.0 ที่ได้ขยับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นศูนย์จากปี 2065 เป็นปี 2050 แต่สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนคือ ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้เงินไปเท่าไหร่และต้องใช้
อีกเท่าไหร่ในการรับมือกับภาวะโลกรวน?
“จนถึงวันนี้ ประเทศไทยยังไม่มีภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ว่าเงินที่ใช้เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีมูลค่าเท่าไร มาจากไหน และลงทุนไปกับอะไรบ้าง โจทย์นี้คือจุดเริ่มต้นของโครงการ Thailand Climate Finance Tracker 2025 ที่จะเชื่อมข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน และฉายให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน ครั้งแรกของประเทศไทย”
ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยของ CFNT กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการวิจัย Thailand Climate Finance Tracker

อะไรคือ Thailand Climate Finance Tracker และ CFNT เก็บข้อมูลอย่างไร
Thailand Climate Finance Tracker คือ เครื่องมือติดตามกระแสเงินทุนทั้งหมดที่ถูกใช้รับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ
- การเงินเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Climate Mitigation Finance) เก็บข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2561 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 โดยมีตัวอย่างโครงการ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การกระจายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือขนส่งมวลชนสาธารณะพลังงานไฟฟ้า
- การเงินเพื่อปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Adaptation Finance) คือการเงินที่ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวหรือรับมือกับภาวะโลกรวน โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2567 ตัวอย่างโครงการ เช่น ระบบเตือนภัยพิบัติ การลดอุณหภูมิในเขตเมืองด้วยพื้นที่สีเขียว หรือโครงการจัดการน้ำ
สำหรับที่มาของแหล่งเงินทุน ทีมนักวิจัยของ CFNT ได้เก็บข้อมูลจากหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมทั้งหมดกว่า 3,500 โครงการ แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้
- หน่วยงานภาครัฐ
- หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
- สถาบันการเงิน
- ธนาคารพัฒนาระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)
- กองทุนสภาพภูมิอากาศพหุภาคี เช่น กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (GCF)
- กองทุนภายในประเทศ เช่น ThaiCI
อย่างไรก็ดี CFNT ดำเนินการเก็บข้อมูลภายใต้ข้อจำกัดสำคัญ อาทิ การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐและภาคเอกชน ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลที่ได้รับ หรือความคลุมเครือในวัตถุประสงค์ของโครงการ
“ดิฉันเชื่อว่านี่คือภาพภูมิทัศน์ทางการเงินที่ชัดเจนและครบถ้วนที่สุด โดยเราจะพัฒนาให้ข้อมูลมีความแม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้นในอนาคต” ธนิดากล่าวระหว่างการนำเสนอ

6 เรื่องราวที่น่าสนใจจากภูมิทัศน์การเงินไทยเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Thailand Climate Finance Landscape)
เปิดข้อค้นพบในภูมิทัศน์การเงินไทยเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนที่นำเสนอในงาน Thailand Climate Finance Tracker 2025 กับ 6 เรื่องราวที่น่าสนใจว่ากระแสเงินทุนไหลไปรับมือกับภาวะโลกรวนในไทยได้อย่างไร ดังนี้
- ไทยทุ่ม 1.7 ล้านล้านบาทเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 จนถึงปัจจุบัน CFNT ประมาณการว่าประเทศไทยทุ่มเงินอย่างน้อย 1.7 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

- พลังงานยืนหนึ่ง
สำหรับสัดส่วนเงินที่ถูกใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เก็บข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2561 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 พบว่า ภาคพลังงานได้รับเงินลงทุนสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ก่อนตามมาด้วยภาคขนส่ง
- อันดับที่หนึ่ง ภาคพลังงานได้รับเงินลงทุน 779,130 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45.9% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยมีโครงการสำคัญ เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์
- อันดับที่สาม ภาคขนส่งได้รับเงินลงทุนราว 315,122 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 18.6% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยมีโครงการสำคัญ เช่น รถขนส่งมวลชนไฟฟ้า และการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ เมื่อรวมเงินลงทุนจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง
เข้าด้วยกันจะคิดเป็น 2 ใน 3 ของเงินลงทุนทั้งหมด
อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วอันดับที่สองหายไปไหน คำตอบอยู่ที่บรรทัดด้านล่าง
3. ข้อมูลขาดความละเอียด ต้นเหตุเงินทุนจัดประเภทไม่ได้
สำหรับสัดส่วนเงินที่ถูกใช้เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดเป็นลำดับที่สองคือ เงินที่จัดประเภทไม่ได้ โดยมีจำนวนมากถึง 437,717 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.8% ของเงินทุนที่ใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ซึ่งมีสาเหตุจากข้อมูลที่ได้รับไม่ละเอียดเพียงพอให้จำแนกอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สำหรับเงินลงทุนภาคส่วนอื่นๆ ที่ถูกใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจกถือว่าอยู่ในระดับที่น้อยจนไม่มีนัยยะสำคัญ เช่น การจัดการน้ำ การเกษตรกรรม หรือการจัดการขยะ

- จำเป็นเร่งด่วนเท่ากัน แต่ได้รับการสนับสนุนต่างกัน
ข้อค้นพบอีกประการหนึ่งนับว่าน่ากังวลไม่น้อยคือ ทั้งที่ประเทศไทยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ และต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายหลายพันล้านบาทในแต่ละปี แต่ข้อมูลจาก Thailand Climate Finance Tracker ซึ่งเก็บตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 – 2567 กลับพบว่าเม็ดเงินลงทุนเพื่อปรับตัวรับมือภาวะโลกรวนทั้งหมดคิดเป็น 148,096 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อนำมาเทียบกับการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของเงินลงทุนในการลดก๊าซเรือนกระจก (1.7 ล้านล้านบาท)
แม้ประเทศไทยมีแผนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับทางการ แต่เม็ดเงินที่น้อยนิดสะท้อนว่าแผนฯ ดังกล่าวอาจยังไม่มีการนำไปสู่การปฏิบัติจริง แต่เมื่อภาวะโลกรวนส่งผลกระทบต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การลงทุนเพื่อตั้งรับปรับตัว และอยู่รอดในโลกใบที่ร้อนขึ้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนในระดับเทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเช่นกัน
- ภาครัฐไทยยังทุ่มเงินให้การจัดการน้ำ
กระแสเงินทุนที่ใช้ปรับตัวรับมือภาวะโลกรวนเกือบ 3 ใน 4 หรือ 72.2% ไหลไปยังโครงสร้างการชลประทานเพื่อป้องกันภัยแล้งและน้ำท่วม รองลงมาคือการทำให้เมืองมีความยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น การป้องกันภัยพิบัติ และตามมาด้วยงบประมาณในการเกษตรยั่งยืนประมาณ 3.9%
- เอกชนเดินเกม mitigation ภาครัฐเดินเกม adaptation
สำหรับผู้ที่ลงทุนมากที่สุดในด้านการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนคือ ภาครัฐที่ 97% ขณะที่ผู้ที่ลงทุนมากที่สุดในการลดก๊าซเรือนกระจกคือ ภาคเอกชนโดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท บ่งบอกความพร้อมและความตื่นตัวของภาคเอกชนต่อโอกาสในเศรษฐกิจสีเขียว ขณะเดียวกันก็สะท้อนว่าภาคเอกชนและสถาบันการเงินยังไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกัน
เม็ดเงินจากองค์กรระหว่างประเทศ – ข้อเสนอถึงประเทศไทย
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประเมินว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินอีกมหาศาลในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยต้องใช้เพื่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกราว 12 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ทาง UNESCAP ได้ประมาณการณ์ไว้ว่า มูลค่าความเสียหายจากภาวะโลกรวนต่อปีในไทยราว 1 ล้านล้านบาท แปลว่าประเทศไทยยังขาดเงินทุนสนับสนุนจำนวนมากที่จำเป็นต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรับมือกับภาวะโลกรวนที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

ทีมวิจัย CFNT ยังพบว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีโอกาสที่จะดึงดูดเม็ดเงินสนับสนุนจากต่างชาติเพื่อดำเนินการเสริมสร้างขีดความสามารถและรับมือกับภาวะโลกรวนตามเป้าหมาย NDC ที่ไทยได้ประกาศไว้ โดยไทยควรฉายภาพความต้องการเงินทุนและกระแสเงินทุนที่ได้รับในปัจจุบันที่ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถผลักดันความร่วมมือกับแหล่งเงินทุนจากหน่วยงานพัฒนาระหว่างประเทศและธนาคารระหว่างประเทศที่เป็นหน่วยงานสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านหลักในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำเงินทุนเข้ามาช่วยเปลี่ยนผ่านในภาคพลังงานไทย
“ที่ผ่านมา ไทยได้รับเงินจากธนาคารและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศน้อยมากๆ ทั้งที่หน่วยงานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของภาคพลังงานในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือโครงการ Just Energy Transition Partnership (JETP) ซึ่งนี่นับเป็นโอกาสของไทยที่ยังไม่ได้ตักตวง”
ธนิดากล่าวถึงโอกาสของประเทศไทยในการเพิ่มแหล่งเงินทุนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน
เห็นได้ว่าภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะฉายภาพกระแสเงินทุนได้อย่างชัดเจน ครบถ้วน และเป็นระบบ แม้ไทยยังคงมีความท้าทายในด้านการเปลี่ยนปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะเงินทุนอีกเป็นจำนวนมาก
CFNT หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Thailand Climate Finance Tracker จะเป็นเข็มทิศนำทางให้ทุกภาคส่วนสามารถจัดสรรเงินทุนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนได้อย่างตรงจุด ตลอดจนเป็นจุดเริ่มต้นที่จะรวมศูนย์ข้อมูลกระแสเงินทุนเพื่อสร้างความโปร่งใสและดึงดูดการลงทุนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนได้อย่างเป็นรูปธรรม