
การขึ้นภาษีครั้งล่าสุดของของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภาคส่วนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
เมื่อต้นปี 2025 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และภาษีชดเชย (CVD) ครั้งใหญ่ต่อสินค้าส่งออกด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีน โดยเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึง 175% สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ และ 195% สำหรับโพลีซิลิคอน เวเฟอร์ และเซลล์สุริยะ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดสูงขึ้นอย่างมาก
มาตรการนี้แตกต่างจากกรอบภาษีตอบโต้แบบทวิภาคีที่สหรัฐฯ และจีนตกลงกันไว้ในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตราเดียวที่ 55%
การยกระดับมาตรการภาษีในครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าอีกครั้ง และก่อให้เกิดคำถามสำคัญถึงผลกระทบจากนโยบายกระตุ้นอุตสาหกรรมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ท่าทีของสหรัฐฯ จะถูกมองว่าดำเนินไปเพื่อปกป้องการจ้างงานในประเทศ สกัดการผูกขาดของจีน และเพิ่มรายได้เข้าประเทศด้วยภาษี แต่มาตรการนี้อาจสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างเกินเลยไปถึงการพัฒนาพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และไทยกำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นเพราะเทคโนโลยีพลังงานสะอาดราคาถูกจำนวนมากที่หลั่งไหลมาจากจีน
ความเสี่ยง: การชะลอตัวของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ความกังวลสำคัญในระยะสั้นคือ ภาษีจากสหรัฐฯ จะทำให้การเติบโตของพลังงานสะอาดชะลอตัว ขณะที่โลกกำลังเร่งเดินหน้าเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เพราะสหรัฐฯ และยุโรปต่างล้วนพึ่งพาชิ้นส่วนเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีน โดยจีนครองส่วนแบ่งในตลาดโซลาร์เซลล์มากกว่า 80% ของตลาดโลก และครองส่วนแบ่งในตลาดกังหันลมราว 65% ของตลาดโลก
ดังนั้น มีแนวโน้มว่าภาษีนี้จะดันต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกให้สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านถูกถ่วงดึง และทำให้การลดการปล่อยคาร์บอนซับซ้อนยิ่งขึ้น
“การเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ” ดร. Simi Thambi นักเศรษฐศาสตร์ ด้านภูมิอากาศจาก FAIRR กล่าวเตือนถึงนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดแตกเป็นเสี่ยง
เธอชี้ให้เห็นถึงแบบจำลอง SSP3 ของ IPCC ที่ให้ฉากทัศน์ของโลกที่ขาดความร่วมมือว่า มีแนวโน้มทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าสถานการณ์ที่ทั่วโลกมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนถึง 4 เท่า และแน่นอนว่าไม่สามารถจำกัดอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5°C ตามข้อตกลงปารีสได้สำเร็จ เพราะเป้าหมายในการบรรลุการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์จำเป็นต้องอาศัยการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ง่ายและมีราคาถูก ดังนั้น นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจกำลังทำให้ทั่วโลกถอยหลังมากกว่าก้าวหน้า
โอกาส: ตัวเร่งให้เกิดอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียวในประเทศ
ความเสี่ยงที่ชัดเจนอาจให้ผลในมุมกลับ เพราะบางฝ่ายมองว่าภาษีของสหรัฐฯ อาจกลับกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ประเทศอื่นลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดภายในประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการจ้างงานและลดความเสี่ยงในเชิงภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตาม Leslie Abrahams รองผู้อำนวยการศูนย์ CSIS เตือนว่า ภาษีใหม่นี้อาจทำให้การนำพลังงานสะอาดมาใช้ในสหรัฐฯ ชะลอตัว และอาจทำให้ประเทศหลุดจากการแข่งขันในตลาดพลังงานสีเขียว
“ภาษีใหม่นี้จะทำให้ต้นทุนในการนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาใช้สูงขึ้น รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตในประเทศก็จะแพงขึ้น” เธอกล่าว
สาเหตุ Leslie มองเช่นนั้นเป็นเพราะภาษีของสหรัฐฯ ยังรวมถึงวัสดุสำคัญอื่นๆ ไม่ว่า ปูนซีเมนต์ อุปกรณ์ก่อสร้าง และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งภาษีอาจจะดันต้นทุนเหล่านี้ให้สูงขึ้น และอาจทำให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ ล่าช้าและลดขีดความสามารถในการแข่งขัน
อาเซียน: โมเดล China+1 และทางเลือกที่แสนขรุขระ
เมื่อภาษีของสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกเทคโนโลยีพลังงานสะอาดไปสหรัฐฯ ทำได้ยากขึ้น ภูมิภาคอาเซียนจึงกลายเป็นแหล่งส่งออกสินค้าที่สำคัญใหม่ของจีน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้ซับซ้อนมากขึ้น เพราะสหรัฐฯ มองว่าอาเซียนเป็นเส้นทางที่จีนใช้เพื่อหลบเลี่ยงภาษี และได้มีการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าของสินค้าในภูมิภาคอาเซียนอย่างรุนแรง โดยไล่เรียงตามลำดับดังนี้ กัมพูชาและไทย 36% เวียดนาม 20% และพร้อมเพิ่มขึ้นเป็น 40% ทันทีในกรณีที่สงสัยว่าเป็นสินค้าที่ถูกส่งผ่านจากประเทศที่สาม โดยมีแผนเริ่มใช้อัตราภาษีใหม่ในวันที่
1 สิงหาคมที่จะถึงนี้
(แก้ไขข้อมูลเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากภูมิภาคอาเซียนสู่สหรัฐฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยไทยและกัมพูชาอยู่ที่ 19% และเวียดนามคงเดิมที่ 20%)
นอกจากการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ยังถูกระบุว่าเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นเส้นทางส่งต่อสินค้าจากจีน ส่งผลให้สินค้าพลังงานแสงอาทิตย์จากกัมพูชาถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนสูงถึง 3,521% ขณะที่เวียดนามและไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 395.9% และ 375.2% ตามลำดับ
มาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความกังวลต่อกลยุทธ์การผลิตแบบ “China+1” ซึ่งบริษัทจีนมักมีแนวทางในการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดผลกระทบจากภาษี ซึ่งในอีกด้าน จะทำให้ประเทศที่เป็นฐานการผลิตเหล่านี้ถูกจับตามอง และถูกประเมินบทบาทบนเวทีเศรษฐกิจโลกใหม่อีกครั้ง
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ผู้ผลิตจีนได้หันมาส่งออกเทคโนโลโยพลังงานสะอาดที่มีราคาถูกจำนวนมากมายังภูมิภาคอาเซียน แม้จะทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีทำได้ง่ายขึ้น แต่ส่งผลระยะยาวต่อการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดภายในประเทศอาเซียน เบียดผู้ประกอบการรายย่อยออกจากตลาด และในที่สุดจะชะลอการพัฒนาศักยภาพด้านพลังงานสะอาดของประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ในระยะยาว อาจทำให้ตลาดพลังงานสะอาดในอาเซียนเกิดความบิดเบือน ศักยภาพการผลิตภายในประเทศอ่อนแอ และการเติบโตของขีดความสามารถด้านพลังงานสะอาดชะงักงัน อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้
สถานการณ์สองด้านของไทย
ในฐานะประเทศหนึ่งในอาเซียน ไทยได้รับทั้งประโยชน์และความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ
ในด้านดี มันทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดในราคาถูก สอดรับกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าแห่งชาติปี 2567 (PDP2024) ของไทย แต่ประโยชน์ด้านนี้อาจเป็นกับดักในระยะยาวหากไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยบทเรียนจากปากีสถานกำลังบอกเราว่า ในท้ายที่สุด การลงทุนมหาศาลจากจีนทำให้ปากีสถานต้องจ่ายเงินค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้งาน และต้องเผชิญความเปราะบางทางการเงินในระยะยาว
เช่นนั้น ไทยต้องไม่แลก “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว” กับ “ต้นทุนราคาถูกในระยะสั้น”
ในเชิงกลยุทธ์ ไทยต้องหาทางหลุดออกจากกับดัก “China+1” ซึ่งได้จุดชนวนให้ประเทศในอาเซียนจำนวนมากต้องเผชิญภาษีนำเข้าและบทลงโทษทางการค้าอย่างรุนแรง
ท่ามกลางความปั่นป่วนนี้ ไทยอาจพบ “ช่องว่างแห่งโอกาส” — แทนที่จะเป็นเพียงฐานการประกอบสินค้าราคาถูกให้กับต่างชาติ ไทยสามารถยกระดับตัวเองในห่วงโซ่การค้าให้สูงขึ้นได้
“ประเทศไทยมีแหล่งแร่ควอตซ์เกรดผลิตแผงโซลาร์มากกว่า 6 ล้านตัน ซึ่งสามารถใช้ผลิตโพลีซิลิคอน
วัตถุดิบหลักในการทำแผ่นเวเฟอร์แสงอาทิตย์” พิพัฒน์ พุทธพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของรัฐบาลกล่าว
แม้เขาจะย้ำว่าการพัฒนาแหล่งแร่เหล่านี้ต้องใช้เงินลงทุนและเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ศักยภาพในอนาคตก็ถือว่า “มหาศาล”
หากไทยสามารถลงทุนในกระบวนการผลิตต้นน้ำ เช่น การสกัดและแปรรูปโพลีซิลิคอน รวมถึงให้ความสำคัญกับการผลิตมูลค่าสูง การวิจัยและพัฒนา (R&D) และระบบควบคุมคุณภาพ ไทยจะสามารถลดการพึ่งพาตลาดส่งออกที่ผันผวน และกลายเป็น “ศูนย์กลางพลังงานสะอาด” ที่ยั่งยืนและเข้มแข็งมากกว่าเดิม
อนาคตของพลังงานสะอาดในประเทศไทยจะไม่ได้วัดกันแค่ความเร็ว — แต่จะวัดกันที่ความเฉลียวฉลาดในการวางแผนท่ามกลางกระแสการค้าโลกอันผันผวน