
ภายในงาน ‘พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ที่เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอข้อค้นพบจาก Thailand’s Climate Finance Landscape เจาะลึกงบประมาณที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยลงทุนในภาวะโลกรวนและความเสี่ยงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญจากความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
เมืองใหญ่ในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้างจากความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุ่มงบประมาณเท่าไหร่ในการรับมือภาวะโลกรวน และเรายังห่างไกลแค่ไหนจากเป้าหมายด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน

กรุงเทพฯ กับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน เริ่มต้นด้วยการนำเสนอ ผลการประเมินจากสำนักงานประเมินความเสี่ยง Swiss Re ที่คาดการณ์ว่าในกรณีที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นระหว่าง 2 – 2.6 องศาเซลเซียส ภายใน พ.ศ. 2591 ประเทศไทยจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1 ใน 3 หรือราว 33.2% ของ GDP และถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับที่เลวร้ายที่สุดหรือราว 3.2 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจะเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 43.6% ของ GDP
ถึงแม้ ตัวเลขดังกล่าวจะดูน่ากังวล แต่ประเทศไทยนับว่ามีความกระตือรือร้นต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจก ดั่งที่สะท้อนจากการขยับเป้าหมาย Net-Zero ใน NDC จากปี 2065 สู่ปี 2050 อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่มีความพยายามมากเพียงพอในการปรับตัวและสร้างความยืดหยุ่นต่อภาวะโลกรวน แม้ล่าสุดภาครัฐจะออกแผนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand National Adaptation Plan: NAP) แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้ยังคงเป็นแผนงานระดับสูงและไม่มีการกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน
โดยหากวิเคราะห์เฉพาะเมืองหลวงของประเทศไทย กรุงเทพฯ กำลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทั้งหมด 4 ประการ
- อุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของเมืองและการลดลงของพื้นที่สีเขียว ส่งผลให้ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยในกรุงเทพฯ เพิ่มสูงขึ้น 5.26 องศาเซลเซียส
- การทรุดตัวของผืนดิน เนื่องจากกรุงเทพฯ ได้ใช้น้ำบาดาลใต้ผืนดิน ประกอบกับลักษณะดั้งเดิมของดินที่อ่อนนุ่ม ทำให้กรุงเทพฯ เสี่ยงต่อการทรุดตัวของผืนดินเพิ่มมากขึ้น
- ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล อีกทั้งยังมีภูมิศาสตร์ใกล้ชิดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทย ทำให้การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล 1-2 เมตรก็ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ
- ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ฝนที่ตกหนักส่งผลให้กรุงเทพฯ เผชิญน้ำท่วมที่ถี่และรุนแรงขึ้น และทำให้การสัญจรในช่วงเวลาเร่งด่วนใน 16 แยกสำคัญในกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นรวมมากกว่า 2,000 ชั่วโมงต่อวัน
ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้กรุงเทพฯ กำลังเผชิญความท้าทายที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
- ประการแรก ผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น (heat stress) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 2,300 รายต่อปี อีกทั้งยังส่งผลต่อการเดินทางและมลพิษทางอากาศ
- ประการสอง น้ำท่วม อุทกภัยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยและสำคัญมากของกรุงเทพฯ โดยกรุงเทพฯ มีจุดเสี่ยงน้ำท่วม 737 แห่ง ซึ่งอาจเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้น
- ประการสาม การสูญเสียผืนดิน (erosion) ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกำลังทำให้ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่ชายฝั่ง 26% ของพื้นที่ชายฝั่งทั้งหมด 3,151 กิโลเมตร โดยรวมถึงพื้นที่ชายฝั่งในเขตบางขุนเทียนจำนวน 2,735 ไร่
ท้องถิ่นไทยทุ่มงบประมาณไปที่ไหนในภาวะโลกรวน?
ข้อมูลจาก Thailand’s Climate Finance Landscape พบว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ประเทศไทยทุ่มเงินราว 1.7 ล้านล้านบาทเพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่ข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2567 พบว่า ประเทศไทยลงทุนในการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวนราว 148,096 ล้านบาทเท่านั้น
[อ่านข้อค้นพบจาก Thailand’s Climate Finance Landscape เพิ่มเติม ได้ที่: https://shorturl.asia/z6TEn]

หากขยายภาพการลงทุนลงไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย โดยที่ไม่นับรวมกรุงเทพมหานครพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้งบประมาณเพื่อดำเนินโครงการที่ลดก๊าซเรือนกระจกเพียง 8,732 ล้านบาท หรือราว 3.5% ของงบประมาณที่ลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมด โดยเรียงลำดับการลงทุนสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่
- การผลิตพลังงาน โดยเฉพาะการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะราว 1,259.28 ล้านบาทหรือคิดเป็น 14.42%
- โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าราว 335.74 ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.85%
- การจัดการขยะ โดยเฉพาะการจัดการขยะมูลฝอย ราว 287.43 ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.30%

ในด้านการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนที่ CFNT ร่วมเก็บข้อมูลกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยทุ่มเงิน 1,467 ล้านบาท หรือน้อยกว่า 1% ของงบประมาณที่ลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมด โดยมีการลงทุนสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่
- การรักษาระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะการปลูกป่าชายเลนเทียม ราว 949 ล้านบาทหรือคิดเป็น 64.69%
- ระบบและโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการป้องกันโรคติดต่อจากแมลง 306 ล้านบาทหรือคิดเป็น 11.80%
- การพัฒนางานวิจัยและข้อมูล โดยเฉพาะการยกระดับความสามารถด้านการปรับตัวและสร้างความยืดหยุ่นต่อภาวะโลกรวน 44.69 ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.05%
ขณะที่ข้อมูลจากกรุงเทพมหานครที่ CFNT ได้รับภายหลัง (ในงานเปิดตัว Thailand’s Climate Finance Landscape เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา) ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2568 กรุงเทพมหานครได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศรวมทั้งสิ้น 20,240 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% ของงบประมาณทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 13,142 ล้านบาท
- การปรับตัวต่อภาวะโลกรวน 6,273 ล้านบาท
- การป้องกันผลกระทบภาวะโลกรวน 470 ล้านบาท
ซึ่ง CFNT จะประสานกรุงเทพมหานครในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อนำไปรวมฐานข้อมูล Climate Finance Tracker ของประเทศไทยต่อไป
[อ่านเนื้อหาการนำเสนอจากกรุงเทพมหานครเพิ่มเติม ได้ที่: https://shorturl.asia/0nLwK]

ประเทศไทยยังห่างไกลแค่ไหนจากเป้าหมายด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
ข้อมูลจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนอีกอย่างน้อย 10.3 ล้านล้านบาทในการลดก๊าซเรือนกระจก
ขณะที่การประเมินจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) พบว่า ประเทศไทยต้องการเงินทุน 192,043 ล้านบาท/ ปี ในการปรับตัวและเพิ่มศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับภาวะโลกรวน มิฉะนั้นอาจสูญเสียมากถึง 1 ล้านล้านบาท/ ปี ตามการคาดการณ์ของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ถึงแม้ข้อมูลทั้งหมดจะสะท้อนช่องว่างทางการเงินขนาดใหญ่ที่ยังขาดหายไปของประเทศไทย แต่บทสนทนาที่เกิดขึ้นและข้อมูลที่พบทั้งหมดก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ประเทศไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่กำลังเดินหน้าเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศแล้ว
“ในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เงินราว 12 ล้านล้านบาท แต่จนถึงตอนนี้เราระดมทุนได้เพียง 1.7 ล้านล้านบาท ส่วนด้านการปรับตัว มีการประเมินว่าเราอาจสูญเสียรายได้มากถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท แปลว่ายังมีงานอีกมากที่พวกเราต้องทำ แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่ก็คือโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวเข้าใกล้เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น” ธนิดา ลอเสรีวานิช กล่าวระหว่างการนำเสนอ
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการนำเสนอ ได้ที่:
สามารถเข้าชมข้อมูล รายละเอียดวิธีวิจัย และเอกสารประกอบของ Climate Finance Tracker ได้ที่: https://climatefinancethai.com/th/tracker-th