สรุปเสวนา ‘การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย’  

Share
(จากซ้ายไปขวา) ธนิดา ลอเสรีวานิช, สฤณี อาชวานันทกุล, ดร. อรศรัณย์ มนุอมร, นิกกี้ เคมป์ และ กัว ฮงยู

ภายหลังการนำเสนอข้อค้นพบจาก Thailand’s Climate Finance Landscape เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย’ โดยมีผู้เชี่ยวชาญการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนระดับนานาชาติเข้าร่วมวงเสวนา ได้แก่  

  • ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการเงิน ธนาคารโลก  
  • กัว ฮงยู รองผู้อำนวยการ Greenovation Hub ประเทศจีน  

ทั้งหมดร่วมแลกเปลี่ยนถึงความท้าทายในการขับเคลื่อนเงินทุนเพื่อรับมือภาวะโลกรวน บทเรียนและประสบการณ์ในการขับเคลื่อนเงินทุนจากนานาประเทศ และถอดบทเรียนเพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่อื่นๆ ในทวีปเอเชียให้มีความยืดหยุ่นต่อภาวะโลกรวน   

ดร. อรศรัณย์ มนุอมร

ข่าวร้าย ความท้าทาย และโอกาสของประเทศไทย – ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ธนาคารโลก 

ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการเงิน ธนาคารโลก เริ่มต้นด้วยการชวนทุกคนถอยออกมาหนึ่งก้าว เพื่อให้มองเห็นภาพใหญ่ของการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate finance) ทั่วโลก เธอกล่าวว่าสถานการณ์ตอนนี้มีทั้งข่าวดีและความท้าทาย ข่าวดีคือ ข้อมูลจากการศึกษาของธนาคารโลกพบว่า ในปี 2022 ทั่วโลกมีเงินทุนสำหรับการรับมือภาวะโลกรวนรวม 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือแปลว่าโลกมีทรัพยากรทางการเงินจำนวนมากในการรับมือกับภาวะโลกรวน 

อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ของการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนในระดับโลกมีความท้าทายหลักทั้งหมด 3 ประการ  

ข้อหนึ่ง หากไม่นับรวมประเทศจีน มีเพียง 14% ของจำนวนเงินทุนเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ที่ไหลสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันมากถึง 40% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของโลก  

ข้อสอง เงินทุนเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน (adaptation finance) ยังน้อยเกินไปและภาครัฐยังคงเป็นผู้ลงทุนหลัก โดยเงินทุนเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนคิดเป็น 16% ของเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศทั้งหมดที่ไหลเวียนในประเทศกำลังพัฒนา (ไม่รวมประเทศจีน) และมากกว่า 98% ของการเงินทุนเพื่อรับมือภาวะโลกรวนทั้งหมดยังคงมาจากภาครัฐ  สิ่งนี้แสดงถึงการลงทุนภาคเอกชนในการปรับตัวต่อโลกรวนยังมีจำกัด แต่ก็อาจสะท้อนถึงความยากลำบากเชิงระเบียบวิธีในการติดตามการลงทุนด้านการปรับตัวของภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ 

ข้อสาม สถาบันการเงินยังไม่ให้การสนับสนุนการลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเพียงพอ ธนาคารโลกประเมินว่าภายในปี 2030 ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าเพื่อใช้ในการรับมือกับภาวะโลกรวน อย่างไรก็ตาม ธนาคารซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในประเทศกำลังพัฒนากลับยังไม่ได้สนับสนุนในเรื่องนี้มากเท่าที่ควร โดยจากการเก็บข้อมูลในการศึกษาของธนาคารโลก พบว่าในประเทศกำลังพัฒนา เงินทุนเพื่อรับมือภาวะโลกรวนยังคิดเป็นสัดส่วนแค่ 5% ของเงินสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร 6 ใน 10 แห่ง นอกจากนี้ 28% ของธนาคารทั้งหมดยังไม่เคยปล่อยกู้เงินทุนเพื่อรับมือภาวะโลกรวน 

สำหรับประเทศไทย รายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาประเทศไทย (Country Climate and Development Report) ของธนาคารโลกประเมินว่าในอีก 25 ปีข้างหน้า ประเทศไทยต้องการเงินทุนราว 219 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 2.5% ของผลรวม GDP ทั้งหมด เพื่อใช้ในการรับมือกับภาวะโลกรวน โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 115 พันล้านดอลลาร์ ต้องถูกนำมาลงทุนในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน  

ธนิดา ลอเสรีวานิช และ ดร. อรศรัณย์ มนุอมร

โดยตัวแทนจากธนาคารโลกมองว่าประเทศไทยสามารถระดมทุนที่จำเป็นเพื่อขยายการลงทุนด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation) ผ่านสองกลยุทธ์หลัก  

  • ข้อแรก ยกระดับการเงินเพื่อความยั่งยืนผ่านเครื่องมือทางการเงิน ทั้งยกระดับศักยภาพของสถาบันการเงินให้สามารถระบุ จัดการ และประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับอัดฉีดเงินทุนสู่โครงการ เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมที่ส่งผลดีต่อสภาพภูมิอากาศ​  
  • ข้อสอง ปลดล็อกแหล่งเงินทุนใหม่ ทั้งเงินทุนภายในประเทศ เงินทุนจากต่างประเทศ หรือนวัตกรรมทางการเงินใหม่ เช่น คาร์บอนเครดิต  

สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดร. อรศรัณย์ ชี้ว่า เมืองเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ยกตัวอย่าง  โครงการเมืองเดินได้ในเมืองใหญ่อย่าง กรุงเทพฯ พัทยา หรือขอนแก่น ซึ่งธนาคารโลกคาดว่าจะสามารถดึงดูดเงินลงทุนได้ราว 2 พันล้านดอลลาร์/ ปี รวมถึงโครงการที่ธนาคารโลกทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ เช่น การปรับปรุงระบบไฟถนน หรือการติดตั้งโซลาร์เซลล์  

  • โครงการบุกเบิกรถโดยสารไฟฟ้าของกรุงเทพฯ ซึ่งเกิดโดยความร่วมมือกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้มาตรา 6.2 ของความตกลงปารีส  และสามารถสร้างรายได้การเงินคาร์บอน (carbon finance) ในระดับเมือง” 
  • การพัฒนาเมืองโดยเน้นระบบขนส่งมวลชน (Transport-oriented Development -TOD) ในเมืองสำคัญของไทย เช่น กรุงเทพฯ พัทยา และขอนแก่น ซึ่งธนาคารโลกประเมินว่าอาจดึงดูดการลงทุนได้สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 
  • โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City Project -LCC) ซึ่งดำเนินการร่วมกันโดยธนาคารโลกและหน่วยงานรัฐบาลไทย มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ ให้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น อาคารประหยัดพลังงาน โซลาร์รูฟท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า ไฟถนน และการจัดการขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพัฒนาระบบที่จำเป็นในการวัด รวบรวม และสร้างรายได้จากเครดิตคาร์บอนที่เกิดจากการลงทุนเหล่านี้ 

หนึ่งในคอขวดสำคัญที่ทำให้การเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนยังไม่สามารถขยายตัวได้ คือการขาดแคลนโครงการที่สร้างสรรค์และน่าเชื่อถือในการลงทุน นักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนและมักมองหาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เรายังมีโอกาสอีกมากในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ โดยใช้แนวทางแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (nature-based solutions) การจัดการน้ำ หรือแม้แต่โครงการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น การรับมือกับปัญหาคลื่นความร้อนที่มีผลกระทบต่อเมือง และประชาชน หากโครงการเหล่านี้เกิดมากขึ้น จะมีบทบาทสำคัญในการระดมเงินลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศเข้าสู่เมืองของเราดร. อรศรัณย์กล่าว 

ดร. อรศรัณย์ ย้ำว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่ดีและการประชุม World Bank and IMF annual meetings 2026 เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะแสดงให้โลกเห็นถึงศักยภาพ ความมุ่งมั่น และความสำคัญในการระดมเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่พัฒนาเมืองในทิศทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย.  

“การประชุม IMF–World Bank Group 2026 Annual Meetings ที่จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ  
ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะแสดงบทบาทนำ และแสดงให้โลกเห็นว่าโครงการที่สร้างสรรค์ในระดับเมืองสามารถขับเคลื่อนการระดมเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศมาเป็นพลังในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนได้อย่างไร” ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการเงินธนาคารโลกกล่าว  

นิกกี้ เคมป์

การรับมือภาวะโลกรวนต้องไม่ลืมฟังเสียงท้องถิ่น – นิกกี้ เคมป์ สถาบัน Singapore Green Finance Centre  

นิกกี้ เคมป์ ผู้อำนวยการ Singapore Green Finance Centre ประเทศสิงคโปร์ หรือ SGFC เริ่มต้นด้วยการอธิบายจุดเริ่มต้นของสถาบันว่า SGFC ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 จากความร่วมมือระหว่าง Singapore Management University (SMU) และ Imperial College London โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังสิงคโปร์ ร่วมกับธนาคารเอกชนระดับโลกอีก 9 แห่ง ภายใต้ภารกิจสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน และยกระดับความร่วมมือในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยภารกิจที่ที่ SGFC กำลังผลักดันมีทั้งหมด 4 ด้าน  

  • ด้านที่หนึ่ง วิเคราะห์ชุดข้อมูลทางการเงินอย่างลงลึก เพื่อตรวจสอบว่าเงินทุนหมุนเวียนไปที่ใด ถูกใช้เพื่ออะไร และโครงการสำคัญใดบ้างที่ยังไม่ได้รับเงินทุนในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ Climate Finance Tracker ไม่สามารถสะท้อนข้อมูลออกมาได้   
  • ด้านที่สอง สร้างศูนย์กลางองค์ความรู้ในภูมิภาค เพื่อรวบรวม แลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงข้อมูลด้านความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อยกระดับการตัดสินในการรับมือภาวะโลกรวน  
  • ด้านที่สาม ออกแบบระบบติดตามและประเมินผล เพื่อให้เห็นผลกระทบจากการลงทุนและนโยบายที่ดำเนินไป  
  • ด้านที่สี่ ผลักดันเชิงนโยบาย โดยล่าสุด SGFC ได้ทำงานร่วมกับ Grantham Institute เพื่อพัฒนาเครื่องมือ Climate Damage Tracker ที่จะช่วยระบุความเชื่อมโยงระหว่างภาวะโลกรวนกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อประเมินความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจที่แม่นยำขึ้น เพื่อนำไปสู่บทสนทนาที่หนักแน่นและผลักดันนโยบายรับมือภาวะโลกรวนให้เป็นวาระแห่งชาติและภูมิภาค  

นิกกี้เปรียบข้อมูลว่าคือ ‘เส้นเลือด’ และ ‘เข็มทิศ’ ในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำให้เงินทุนถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกทิศทาง และสามารถลดความเสี่ยงจากภาวะโลกรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกอาจมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 2.9 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลลัพธ์รุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตผู้คนทั่วโลก  

ข้อมูลชี้ชัดว่าการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากที่สุด โดยข้อมูลจาก Climate Policy Initiative (CPI)  ชี้ว่า ทวีปเอเชียต้องการเงินทุนในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนอย่างน้อย 431,000 ล้านดอลลาร์/ ปี แต่ในปัจจุบันทวีปเอเชียมีการลงทุนในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนเพียง 34,000 ล้านดอลลาร์/ ปี หรือคิดเป็น 10% ของเงินทุนทั้งหมดเท่านั้น ทั้งนี้ นิกกี้ย้ำว่าเงินทุนเพื่อการปรับตัวมีความสำคัญ แต่เงินทุนเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเงินทุนทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์ต่อกันและไม่อาจแยกออกจากกันได้  

นิกกี้กล่าวต่อว่า การดำเนินนโยบายเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนเป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละพื้นที่ ภัยพิบัติที่ประเทศไทยเจอไม่มีทางเหมือนสิงคโปร์ ดังนั้น องค์ความรู้ เงินทุน และแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวนควรถูกกำหนดขึ้นโดยท้องถิ่น เพราะคนกลุ่มนี้คือคนที่ต้องเผชิญผลกระทบ และเป็นผู้ที่เข้าใจมากที่สุดว่าชุมชนของพวกเขาต้องการอะไร 

“เมื่อเราพูดถึงเรื่องการปรับตัวและความยืดหยุ่น มันเป็นเรื่องที่ฝังรากอยู่ในระดับท้องถิ่น เราต้องทำการวิจัยและศึกษาโดยตั้งอยู่บนความเป็นจริงและความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่การตีความจากภายนอก” นิกกี้ เคมป์ ผู้อำนวยการสถาบัน Singapore Green Finance Centre ประเทศสิงคโปร์กล่าว

กัว ฮงยู

ความท้าทายร่วมและความร่วมมือของประเทศโลกใต้ – กัว ฮงยู Greenovation Hub  

กัว ฮงยู (Guo Hongyu) รองผู้อำนวยการ Greenovation Hub ประเทศจีน เริ่มต้นด้วยการแนะนำองค์กรของตัวเอง โดยกล่าวว่า Greenovation Hub เป็นองค์กรวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2555 ณ​ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยมีหน้าที่ติดตามกระบวนการกำกับดูแลด้านสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านพลังงาน นโยบายกำกับทางการเงิน และการขับเคลื่อนเงินทุนเพื่อความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคพลังงานสะอาดของประเทศกลุ่มโลกใต้ (Global South)  

ในฐานะองค์กรที่ติดตามประเด็นเหล่านี้มามากกว่า 10 ปี เธอพบว่าหลายประเทศต่างเผชิญความท้าทายในการระดมทุนเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่ใกล้เคียงกัน ดังนี้  

  • ประเด็นแรก นโยบายด้านการเงินสีเขียวที่เพิ่งตั้งไข่

ประเด็นนี้ถือเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุด โดยหลายประเทศยังไม่มีนโยบายด้านการเงินสีเขียวหรือแนวทางมาตรฐานในการจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ taxonomy ที่สำคัญ หลายประเทศยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่จะช่วยขับเคลื่อนและดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ​ แม้ในประเทศที่เริ่มประกาศใช้ taxonomy แล้ว มักพบปัญหาอื่นคือ รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินตามนโยบายส่วนกลาง เช่น ในประเทศจีน แม้จะมีแนวทางและ taxonomy ประกาศใช้แล้ว แต่ท้องถิ่นยังขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน  

  • ประเด็นที่สอง ความไม่สอดคล้องและขาดแคลนข้อมูลารด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน

เธอยกตัวอย่างประเทศจีนที่หน่วยงานรัฐแต่ละแห่งรับผิดชอบและถือชุดข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป เช่น คณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission: NDRC) กำกับการลดก๊าซเรือนกระจก กระทรวงสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน ส่วนธนาคารกลางและกระทรวงการคลังดูแลการไหลเวียนของเงินทุนทั้งหมด ข้อมูลที่ที่กระจัดกระจายและไม่มีความเชื่อมโยงเพิ่มต้นทุนในการประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำงานได้ยากยิ่งขึ้น  

  • ประการที่สาม ท้องถิ่นขาดงบประมาณในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ

แม้รัฐบาลกลางจะมีเงินอุดหนุนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่งบประมาณดังกล่าวยังไม่เพียงพอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องหาเงินทุนเพิ่มด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งไม่สามารถทำได้ด้วยข้อจำกัดหลายประการ 

  • ประการที่สี่ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน

บุคลากรภาคการเงินท้องถิ่นยังขาดความรู้ด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน เช่น การประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ  
ทำให้โครงการส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินการได้ 

ฮงยูทิ้งท้ายว่า ความร่วมมือจากนานาชาติคือกุญแจสำคัญในการผลักดันโครงการด้านการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนของประเทศกำลังพัฒนาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งความช่วยเหลือด้านการเงิน ความช่วยเหลือด้านเทคนิค เช่น การออกแบบระบบเตือนภัย รวมถึงความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้  เช่น การประเมินความเสี่ยงทางกายภาพจากภาวะโลกรวน หรือวิธีแยกระหว่างโครงการที่ปรับตัวต่อภาวะโลกรวนกับการลดก๊าซเรือน 

“ความร่วมมือและความช่วยเหลือจากต่างประเทศคือหัวใจสำคัญของการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน เพราะการระดมเงินทุนเพื่อปรับตัวมีข้อจำกัดหลายประการ ไม่ว่าความเสี่ยงที่สูง ความยากในการวัดผลลัพธ์ ตลอดจนการขาดข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ดังนั้น การร่วมมือกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (South-South Cooperation) คือ กุญแจสำคัญที่จะช่วยก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ และสร้างอนาคตที่มีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตภูมิอากาศร่วมกัน”  กัว ฮงยู รองผู้อำนวยการ Greenovation Hub ประเทศจีนกล่าว 

ดาวโหลดน์เอกสารนำเสนอ ได้ที่: