บทความ
เกิดอะไรขึ้นบ้างในเวิร์กช็อป Deep Dive into Thailand’s Climate Finance Landscape
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 CFNT ร่วมกับ UNGCNT จัดงานเวิร์กช็อป ‘Deep Dive into Thailand’s Climate Finance Landscape นับเป็นเวิร์กช็อปครั้งแรกจากฐานข้อมูล Thailand Climate Finance Tracker
สรุป 3 ข้อเสนอและ 5 งานสำคัญจากปาฐกถา ‘เกินกว่าเร่งด่วน ความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนต่อภาวะโลกรวน’
สรุปปาฐกถาปิดงาน ‘2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย’ โดยตัวแทนจาก UNEP และ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
สรุปวงเสวนา ‘จากอลหม่านสู่ยืดหยุ่น: ร่วมออกแบบอนาคตการปรับตัวต่อโลกรวน’
ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้างจากภัยพิบัติที่มาพร้อมภาวะโลกรวน? ร่วมหาคำตอบได้ในงานเสวนา ‘จากอลหม่านสู่ยืดหยุ่น: ร่วมออกแบบอนาคตการปรับตัวต่อโลกรวน’
เงินทุนไทยไหลไปไหนบ้างในภาวะโลกรวน?
หากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกยังไม่พอที่จะทำให้ใครตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้ลองพิจารณาข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นวิตกจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ในรายงาน State of the Global Climate 2024 องค์การ WMO ระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา “มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีของโลกสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิใกล้พื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 1.55 ± 0.13 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 1850-1900” หรือแปลว่าปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปีนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติของ WMO ในรายงานฉบับดังกล่าว ยังได้มีการตอกย้ำถึง “ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสภาพอากาศสุดขั้ว และผลกระทบระยะยาวจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงเป็นประวัติการณ์และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น” ประเทศไทยในภาวะโลกรวน ประเทศไทยคือตัวอย่างหนึ่งของความจำเป็นเร่งด่วนนี้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดอันดับที่ 30 ตามรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน Germanwatch ขณะที่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ประเมินภายใต้สมมติฐานที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสว่า ความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยอาจสูงถึงเกือบ 1 ล้านล้านบาท/ ปี หรือราว 6.6% ของ GDP โดยภาคเกษตรกรรมของไทยจะได้รับความเสียหายสูงถึง 17.5–83.8 […]
ภาษี, การค้า และความปั่นป่วน: ไทยบนทางแพร่งของพลังงานสะอาด
เมื่อต้นปี 2025 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการภาษีตลาดครั้งใหญ่ต่อสินค้าส่งออกด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีน ผลกระทบนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะในไทย ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากสินค้าพลังงานสะอาดราคาถูกที่หลั่งไหลจากจีน
สรุป 6 ประเด็นที่น่าสนใจจากงานเปิดตัว 2025 Thailand Climate Finance Tracker
อะไรคือ Thailaind Climate Finance Tracker? ทำไมประเทศไทยถึงต้องจัดเก็บข้อมูลชุดนี้? และข้อค้นพบ 6 ข้อจากงานวิจัยชิ้นนี้ มีอะไรบ้าง? ติดตามได้จากบทความชิ้นนี้
ทำไมถึงต้องใช้ ‘กลไกตลาด’ เพื่อเพิ่มการแข่งขันในระบบไฟฟ้าไทย?
เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสเข้าฟังบรรยายโดยคุณอากิโกะ โยชิดะ (Akiko Yoshida) นักรณรงค์เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจาก Friends of the Earth Japan เธอเล่าให้ฟังถึงโครงการ Power Shift ที่พยายามสนับสนุนและจูงใจให้ครัวเรือนญี่ปุ่นหันมา ‘เลือก’ ซื้อพลังงานจากเอกชนที่เน้นให้บริการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ถึงตรงนี้ ผมเองก็อดไม่ได้ที่ต้องอธิบายให้เพื่อนชาวไทยฟังว่าระบบไฟฟ้า ‘มัดมือชก’ โดยที่ประชาชนไม่มีตัวเลือกแบบที่ใช้อยู่ในประเทศไทย แท้จริงแล้วเป็นแค่ระบบไฟฟ้า ‘รูปแบบหนึ่ง’ ซึ่งแพร่หลายโดยเฉพาะในแถบเอเชียนั้น ในขณะที่ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มขยับโดยการเปิดเสรีและใช้กลไกตลาดเพิ่มขึ้น อย่างประเทศญี่ปุ่นเองก็ค่อย ๆ เปิดเสรีตั้งแต่ตลาดรายใหญ่ และเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาก็ขยับขยายจนเปิดเสรีตลาดรายย่อยทั้งหมด ดังนั้นประชาชนคนญี่ปุ่นจึงสามารถ ‘เลือก’ ได้ว่าจะทำสัญญาซื้อไฟฟ้าเข้าบ้านจากผู้บริการเอกชนรายใด โดยที่แต่ละรายก็จะมีรายละเอียดสัญญา อัตราค่าบริการ และจุดขายอย่างระดับความ ‘เขียว’ แตกต่างกันออกไป หันกลับมาที่ประเทศไทย แรกเริ่มเดิมทีระบบไฟฟ้าของเราอยู่ในมือรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย แต่เมื่อปี 2003 รัฐบาลไทยหันมาใช้ระบบใหม่ที่ชื่อว่า Enhanced Single Buyer Model โดยเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า โดยที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ดูแลสัญญาเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าและสายส่งแรงสูง ส่วนโครงข่ายการกระจายไฟฟ้าไปยังครัวเรือนรวมถึงการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับรายย่อยนั้น การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) […]
สรุปประเด็นการแถลงผลงานวิจัย หัวข้อ “ใช้พลังมวลชน: เพิ่มการเข้าถึงเงินทุนเพื่อติดตั้งโซลาร์ครัวเรือนด้วยโมเดลคราวน์ฟันดิงในไทย”
รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ หัวหน้าทีมวิจัย เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) แถลงผลงานวิจัย หัวข้อ “ใช้พลังมวลชน: เพิ่มการเข้าถึงเงินทุนเพื่อติดตั้งโซลาร์ครัวเรือนด้วยโมเดลคราวน์ฟันดิงในไทย” ที่โรงแรมแมริออท กรุงเทพฯ สุขุมวิท เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 (ดาวน์โหลดงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่นี่) ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แต่ปัจจุบันกลับมีสัดส่วนเพียง 1-2% เท่านั้น ซึ่งปัญหาของการเข้าถึงการติดตั้งโซลาร์ในภาคครัวเรือน คือ ราคา การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและความยุ่งยากในการขออนุญาต ในประเด็นเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน CFNT ได้สำรวจระบบ Crowdfunding ในต่างประเทศที่ใช้กับโครงการโซลาร์โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป คือ Lumo จากฝรั่งเศส, Trine จากสวีเดน, Zonhub จากเนเธอร์แลนด์ และ Ethex จากสหราชอาณาจักร พบว่าจุดร่วมของแพลตฟอร์มเหล่านี้คือ การให้แรงจูงใจทางการเงินจากรัฐบาลที่ต่อเนื่องยาวนาน โดยภาครัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มเพื่อให้ภาคพลังงานหมุนเวียนเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นสัญญาระยะยาว สอง คือความโปร่งใสกับ Due Diligence แพลตฟอร์มเหล่านี้มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการอย่างละเอียด เพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ สาม ผลิตภัณฑ์ทางการเงินมีความหลากหลาย และสี่ […]
พลังงานแสงอาทิตย์แพงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลจริงหรือ?
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เคยยึดติดกับความคิดที่ว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นทางเลือกราคาแพงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือวันที่รัสเซียตัดสินใจรุกรานยูเครนที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดก๊าซทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเป็นสัดส่วนสูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตก๊าซเองได้บางส่วน แต่ราคาจำหน่ายเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าก็ผันผวนไปตามตลาดโลก นี่คือสาเหตุที่ราคาไฟฟ้าไทยพุ่งทะลุไปเกิน 5 บาทต่อหน่วยซึ่งนับว่าสูงเป็นประวัติการณ์! ในฐานะนักการเงิน ผมพยายามหาทางออกในระยะยาว แต่น่าเสียดายที่ตลาดไฟฟ้าของไทยเป็นระบบผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ จึงถูก ‘มัดมือชก’ ทำให้มีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือคือต้องหาทางผลิตไฟฟ้าด้วยตนเอง ผมจึงหันมามองศึกษาต้นทุนการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันเพื่อประกอบการตัดสินใจ แม้ว่าภาพจำของพลังงานแสงอาทิตย์คือการที่รัฐรับซื้อในราคามากกว่า 6 บาทเมื่อราวทศวรรษก่อน แต่เชื่อไหมครับว่าต้นทุนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ถูกลงมาก องค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency) ประมาณการว่าต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงถึง 83 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2010–2022 และถ้าหันไปดูราคารับซื้อของรัฐไทยเอง ก็พบว่าหล่นลงมาอยู่ที่ 2.20 บาท เท่ากับว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อหน่วยย่อมต่ำกว่าตัวเลขดังกล่าวอย่างแน่นอน แต่ต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงสักบาทแบบนี้จะต้องคำนวณต้นทุนอย่างไร? ด้วยความฉงนสงสัย ผมก็ไปค้นจนได้คำตอบคือคำนวณจาก ‘ต้นทุนไฟฟ้าปรับระดับ’ (Levelized Cost of Energy) หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า LCOE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบว่าต้นทุนไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานใดราคาต่ำกว่ากัน LCOE คำนวณอย่างไร การผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น แม้จะได้ ‘ไฟฟ้า’ เป็นผลผลิตเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างสำคัญคือพลังงานหมุนเวียนไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าฟอสซิลต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงซึ่งมีราคาผันผวนตลอดเวลา เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าโรงไฟฟ้าใดต้นทุนต่ำกว่า […]