บทความ
วิกฤติโลกรวนสร้างความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจอย่างไร?
เนื่องจากภาคธุรกิจคือตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ และขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจเองก็กำลังเผชิญความเสี่ยงมหาศาลจากความแปรปรวนของสภาพอากาศเช่นนี้ เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาคธุรกิจคือกุญแจสำคัญที่จะพาไปสู่ทางออกวิกฤตโลกรวน หากว่าภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำได้
วิกฤติโลกรวนเกิดจากอะไร? วิทยาศาสตร์ว่าด้วยภาวะโลกร้อน
ไม่ว่าจะเผชิญกับอากาศร้อนดังนรก หรือโดนถล่มโดยฝนห่าใหญ่ จนถึงปัจจุบันนี้ยังมีคนเชื่ออยู่ว่า “โลกรวน” หรือ Climate Change ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากมนุษย์ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ แม้วิทยาศาตร์จะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้มานานนับทศวรรษก็ตาม ฝนถล่มฟ้าเมื่อหลายวันที่ผ่านมาคงจะทำให้ชีวิตหลายคนลำบากไม่น้อย ถึงแม้ในอีกมุมนึงฝนห่าใหญ่จะมาคลายความร้อนที่ต่อเนื่องเนิ่นนานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมไปได้บ้าง อากาศที่ร้อนขึ้นอย่างผิดสังเกตกลายเป็นกระแสเสียงบ่นระงมว่า ‘ร้อนกว่าสมัยเด็กๆ’ ความรู้สึกของเราสอดคล้องกับสถิติที่ Copernicus Climate Change Service เปิดเผยว่าอุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกในเดือนเมษาที่ผ่านมาร้อนขึ้นราว 1.61 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร้อนทะลุปรอทเมื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ 99 คนจาก 100 คน เห็นต้องตรงกันว่าแนวโน้มอุณภูมิบนพื้นผิวโลกเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมามีสาเหตุสำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยแก๊สเรือนกระจกอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ การรับมือ ‘สภาวะโลกร้อน’ เป็นประเด็นที่ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวางบนเวทีโลกมายาวนานกว่าสามทศวรรษโดยมีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการคืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ซึ่งช่วงแรกเริ่มประสบอุปสรรคและคำถามนานัปการ แต่เมื่อภาวะโลกรวนเริ่มเผยตัวรุนแรงยิ่งขึ้น นานาประเทศจึงเริ่มตระหนักว่าภาวะโลกร้อนคือ ‘ของจริง’ ไม่ใช่แค่คำทำนายหายนะในนวนิยายวิทยาศาสตร์ ความพยายามรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังจึงเริ่มต้นอีกครั้งโดยมีหมุดหมายสำคัญคือข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมาซึ่งมุ่งมั่นจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากชวนผู้อ่านไปคลายข้อสงสัยว่าด้วยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของภาวะโลกร้อน รวมถึงข้อพิสูจน์ว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ต้นธารของวิทยาศาสตร์โลกร้อน แม้หลายคนจะมองว่าศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ทราบไหมครับว่าครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศจะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ต้องสืบย้อนไปถึงปี 1896 […]
‘สมาร์ทกริด’ เทคโนโลยีจำเป็น ก่อนเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน
ระบบสายส่งไฟฟ้า (electrical grid) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ระบบกริด เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการขององค์การรัฐวิสาหกิจของไทย และไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก แต่ระบบสายส่งไฟฟ้ามีความสำคัญต่อระบบไฟฟ้าไทย เพราะช่วยให้เราทุกคนมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง ในยุควิกฤติโลกรวนที่นานาประเทศทั่วโลกต่างต้องลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ระบบสายส่งไฟฟ้านับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานอันดับแรกๆ ที่ต้องเร่งพัฒนา เพราะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สาเหตุก็เนื่องจากรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เดิมทีระบบสายส่งไฟฟ้าสร้างมาเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าแรงสูงจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งไปยังครัวเรือนต่างๆ แต่พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา จะคล้ายกับโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่กระจายตัวอยู่หลากหลายแหล่ง ยังไม่นับลักษณะการผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากคาดการณ์ไม่ดี จัดการไม่ได้ ระบบไฟฟ้าทั้งหมดก็อาจระส่ำระสาย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพิ่มเป้าหมายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าจาก 20 เปอร์เซ็นต์เป็น 37 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2580 โดยมีพลังงานแสงอาทิตย์เป็นตัวชูโรงโดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยล่าสุดรัฐบาลเตรียมประกาศแผนพลังงานชาติพร้อมกับระบุว่า พร้อมเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบให้ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ความฝันดังกล่าวคงยากจะเป็นความจริง หากรัฐบาลไม่ทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนา ‘สมาร์ทกริด’ ให้สามารถรองรับรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้าด้วยสมาร์ทกริด สมาร์ทกริดไม่มีนิยามตายตัวที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institute of Standards and […]
กลไกค่าไฟที่ทำให้คนไทยกลายเป็น ‘นักแบก’
Photo credit: สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) หน้าร้อนแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงเริ่มหลอนกับใบเรียกเก็บค่าไฟฟ้าที่กำลังจะมาถึง เพราะย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ผมและผู้อ่านหลายคนคงเจอกับปัญหา ‘ค่าไฟทะลุเพดาน’ กับตาตัวเอง โดยมีสาเหตุสำคัญเกิดจากสององค์ประกอบหลักคืออากาศที่ร้อนจัดและค่าไฟผันแปรที่พุ่งกระฉูด นับตั้งแต่วันนั้น ประเด็นเรื่องค่าไฟก็เป็นปัญหาที่ค้างคาใจผมอยู่ตลอดเวลา จนมาวันนี้จึงพอจะสรุปได้ว่าปัญหาทั้งหมดทั้งมวลอาจอยู่ที่ ‘กลไกราคา’ ปัจจุบัน ที่ส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดมายังผู้บริโภคโดยตรง (Cost Pass-Through) ซึ่งสามารถตีความว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยทั้งระบบนั้นไม่มีความเสี่ยงและไม่มีทางขาดทุน เพราะไม่ว่าต้นทุนในการผลิตหรือราคาเชื้อเพลิงปรับสูงขึ้นเพียงใด ต้นทุนทุกบาททุกสตางค์ก็จะส่งผ่านมายังคนไทยทุกคนแบบหารเฉลี่ย คงไม่ผิดนักหากจะยกย่องคนไทยว่าเป็น ‘นักแบก’ และต้องก้มหน้าก้มตาแบกต่อไปตราบใดที่กลไกราคากำหนดค่าไฟฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาไปสำรวจโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายไฟฟ้าของไทย รวมถึงแนวทางในการเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าที่น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ โครงสร้างพลังงานไทย เมื่อพูดเรื่องระบบไฟฟ้า หนึ่งในชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือ กฟผ. องค์กรรัฐวิสาหกิจที่ก่อตั้งโดยมีบทบาทหลักเพื่อ ‘ผลิตไฟฟ้า’ อย่างไรก็ตาม บทบาทของ กฟผ.เปลี่ยนแปลงไปหลังจากไทยปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าสู่ระบบที่มีผู้รับซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว (Enhanced Single Buyer) ผมขอชวนผู้อ่านมาลองทายกันเล่นๆ ว่า ล่าสุด กฟผ.มีกำลังการผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนทั้งสิ้นกี่เปอร์เซ็นต์ของระบบไฟฟ้าไทย 90%? – ตัวเลขนี้สูงเกินไปมากเลยครับ 75%? – ก็ยังสูงเกินไปอยู่ดี 50%? – ครึ่งๆ แบบนี้ก็ยังไม่ถูกครับ […]
V2G สร้างรายได้จากยานยนต์ไฟฟ้าให้รถเป็นโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋ว ในฐานะ ‘แบตเตอรี่มีล้อ’
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทย ลังเลที่จะเปลี่ยนผ่านการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียน คือความไม่เสถียรของระบบผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมลมฟ้าอากาศได้ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์จึงผันผวนแบบนาทีต่อนาที ต่างจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติที่สามารถกดปุ่มเปิดปิดตามความต้องการ เหล่านักวิทยาศาสตร์และวิศวกรต่างพยายามคิดค้นนวัตกรรมเพื่อจัดการความผันผวนของพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ หนึ่งในนั้นคือแบตเตอรี่สำหรับเก็บประจุไฟฟ้า ซึ่งเปรียบเสมือนข้อต่อที่ช่วยจัดการความไม่สมดุลระหว่างกำลังการผลิตไฟฟ้าและความต้องการใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เหล่าประเทศที่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอนก็ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ คือต้นทุนค่าแบตเตอรี่ที่ปัจจุบันยังนับว่าแพงแสนแพง หากจะติดตั้งแบตเตอรี่ที่จ่ายไฟเพียงพอสำหรับบ้านหนึ่งหลัง ก็อาจต้องใช้งบประมาณราวครึ่งล้านบาท แต่ความนิยมของยานยนต์ไฟฟ้าอาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพราะคนจำนวนมากยอมควักกระเป๋าเงินร่วมล้านเพื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ ‘แบตเตอรี่ที่มีล้อ’ เท่ากับว่าถ้าประเทศไหนมีโครงข่ายไฟฟ้าหรือกริดที่ฉลาดเพียงพอ ก็จะสามารถรับซื้อไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าที่เสียบชาร์จอยู่ได้ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูงในบางช่วงเวลา แนวคิดดังกล่าวเรียกว่าการจ่ายไฟฟ้าจากยานยนต์สู่กริด (vehicle-to-grid) หรือ V2G ซึ่งมีโครงการทดลองหลายแห่งทั้งในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยที่ Renault-Nissan-Mitsubishi พันธมิตรสามค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่เป็นเจ้าตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีรับและจ่ายไฟฟ้าในคันเดียวกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกิดความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในแวดวง V2G คือการที่ บริษัท Octopus Energy รับซื้อไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จากยานยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักร โดยใช้แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Kraken ระบบอัตโนมัติที่จะจัดการ “ชาร์จไฟรถยนต์ในช่วงที่ค่าไฟถูก และจ่ายไฟเข้าสู่กริดในช่วงที่มีความต้องการใช้สูง” โดยเพียงแค่เสียบชาร์จไว้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง เจ้าของรถยนต์ชาวอังกฤษก็สามารถทำเงินได้ 850 ปอนด์ หรือราว 40,000 บาทต่อปี ในยุคที่วิกฤติโลกรวนเป็นเรื่องเร่งด่วน […]
ปิดสวิตช์ตัวการที่ทำให้ค่าไฟแพง ในงานเสวนา “ปิด-เปิดสวิตช์ โครงสร้างค่าไฟให้แฟร์”
วันที่ 23 มีนาคม ซึ่งตรงกับวัน Earth Hour หรือวันปิดไฟเพื่อโลก กลุ่ม JustPow อันเป็นการร่วมกันขององค์กรที่ทำงานในด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ Data Hatch, Epigram, Greenpeace Thailand, JET in Thailand และ Rocket Media Lab จัดงานเสวนา “ปิด-เปิดสวิตช์ โครงสร้างค่าไฟให้แฟร์และโปร่งใส ประชาชนต้องทำอย่างไร” ที่ชั้น L หอศิลปกรุงเทพฯ (BACC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการ ‘ปิดสวิตช์อะไรให้ค่าไฟแฟร์ เปิดสาเหตุอะไรทำค่าไฟแพง’ ระหว่างวันที่ 19-24 มีนาคม สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัย Fair Finance Thailand กล่าวถึงปัญหาความไม่เป็นธรรมของโครงสร้างค่าไฟว่า มี 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ ประเด็นที่ 1 การที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เกินจริง ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและส่งผลต่อค่าไฟ โดยการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเกินจริงที่เกิดขึ้นมาตลอด […]
เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน ทางออกของวิกฤติภูมิอากาศ?
แรกเริ่มเดิมที โลกของเราสร้างสมดุลจากการปล่อยแก๊สเรือนกระจกตามธรรมชาติด้วยกลไกการดูดซับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเหล่าพืชพรรณผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่นับจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ก็ขุดเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติมาเผาเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงาน ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาลจนกลไกดั้งเดิมไม่อาจรับไหว
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติ อุปสรรคต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทย
ประเทศไทยให้คำมั่นต่อนานาประเทศว่าจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมตามข้อตกลงปารีส กระนั้น การเติบโตของความต้องการก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจีในประเทศไทยกลับฉายภาพตรงกันข้าม และอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศในอนาคต ข้อมูลจาก Kpler ระบุว่าในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยมีการนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตัวเลขการนำเข้า ณ เดือนตุลาคมอยู่ที่ 22.9 ล้านลูกบาศก์เมตร นับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการนำเข้าในปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 19.8 ล้านลูกบาศก์เมตร ตัวเลขดังกล่าวทำให้ประเทศไทยขยับขึ้นจากอันดับ 11 สู่อันดับ 8 ของผู้นำเข้าแอลเอ็นจีทั่วโลก โดยอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงปี พ.ศ. 2565 สวนทางกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียที่ต่างลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวเนื่องจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนช่วงปี พ.ศ. 2565 ตัวแปรหลักที่ทำให้ตัวเลขการนำเข้าแอลเอ็นจีของไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหรือราว 1.27 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2562 คือการพึ่งพาแก๊สธรรมชาติปริมาณมหาศาลเพื่อการผลิตไฟฟ้า ข้อมูลขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) ระบุว่าการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2564 พึ่งพาก๊าซธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 62.2 […]
ไขศักยภาพพลังงานหมุนเวียนด้วยนวัตกรรมทางการเงิน
ปรากฎการณ์เอลนีโญในปีนี้ทำให้ทั่วโลกรู้ว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ คือของจริง หลายประเทศทุบสถิติความร้อนไปตามๆ กัน แม้แต่ประเทศไทยเองก็เผชิญความร้อนอย่างถ้วนหน้าโดยในช่วงเดือนพฤษภาคมแตะทะลุ 40 องศาทั่วประเทศนำไปสู่ระดับการใช้ไฟฟ้าที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ น่าแปลกใจที่หลักฐานเชิงประจักษ์ตรงหน้ากลับไม่ช่วยทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนรวดเร็วขึ้น ทั้งที่เทคโนโลยีทั้งพลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานลมจะราคาถูกลงอย่างมาก แต่อัตราการเติบโตของภาคพลังงานดังกล่าวในประเทศไทยในช่วงห้าปีหลังเรียกได้ว่าค่อนข้างคงที่ หากเทียบกับเวียดนามที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไทยเคยเป็นผู้นำของภูมิภาค แต่ปัจจุบันเวียดนามกลับสามารถเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งจนมากกว่าไทยถึง 5 เท่าตัว น่าแปลกใจที่รัฐบาลไทยดูจะให้ความสำคัญกับการซื้อพลังงานน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมระดับหายนะ หรือการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลที่มีข้อกังขาหลายประการถึงความยั่งยืนในแง่การแก่งแย่งทรัพยากรน้ำและที่ดินในการใช้ปลูกพืชอาหาร แต่กลับมองข้ามพลังงานศักยภาพสูงอย่างแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านเรือน ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา บ้านผู้เขียนเองก็เผชิญกับค่าไฟที่พุ่งสูงจนต้องมองหาทางออกใหม่นั่นคือการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา แต่เมื่อเห็นราคาก็ต้องปาดเหงื่อ เพราะหากจะติดตั้งให้สมน้ำสมเนื้อกับการใช้ไฟฟ้าก็ต้องใช้ทุนรอนหลักแสนโดยใช้ระยะเวลาคืนทุนร่วมสิบปี นี่คือหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่อาจทำให้โครงการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านของผมและอีกหลายคนไม่สามารถกลายเป็นความจริง แต่ปัญหาดังกล่าวก็ใช่ว่าจะไร้ทางออก เพราะสามารถคลี่คลายได้ด้วยนวัตกรรมทางการเงินซึ่งประสบความสำเร็จในหลายประเทศ อุปสรรคของพลังงานหมุนเวียนสำหรับรายย่อย อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมจึงไม่เลือกใช้ช่องทางจัดหาเงินทั่วไป เช่น การกู้ธนาคารพาณิชย์ สำหรับเป็นเงินทุนในการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ สาเหตุก็เนื่องจากช่องทางเหล่านั้นไม่ตอบโจทย์สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลซึ่งโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนแบบพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากมองในมุมของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ต้นทุนในการทำธุรกรรมปล่อยสินเชื่อโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กนั้นไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายแถมยังใช้เวลาคืนทุนที่ยาวนาน โครงการเช่นนี้จึงจัดเป็นโครงการประเภทที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนต่ำอย่างยิ่ง เหล่านายธนาคารจึงมองหาทางเลือกอื่นที่ผลตอบแทนดีกว่า นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังต้องใช้ข้อมูลการชำระหนี้ในอดีตจำนวนมากของโครงการลักษณะเดียวกันเพื่อประเมินความเสี่ยง แต่ด้วยความที่โครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กนับเป็นเรื่องใหม่มากๆ ธนาคารจึงต้องประเมินความเสี่ยงให้สูงไว้ก่อนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง กลายเป็นว่าสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติก็อาจมาพร้อมกับดอกเบี้ยที่สูงลิ่วจนไม่ดึงดูดใจผู้ที่มาขอสินเชื่อเช่นกัน อุปสรรคของโครงการพลังงานหมุนเวียนสำหรับรายย่อยไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการขอสินเชื่อเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องปัญหาระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของสินทรัพย์ (Landlord-Tenant Problems) อีกด้วย สมมติว่ามีบ้านเช่าหลังหนึ่งต้องการติดแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา คำถามที่ตามมาคือใครต้องเป็นผู้ที่จ่ายเงินลงทุนค่าติดตั้งดังกล่าว หากมองในมุมของเจ้าของบ้านเช่า การติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ย่อมเป็นการปรับปรุงอาคารที่ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านจะไม่ได้เป็นผู้รับประโยชน์ในระยะสั้น เนื่องจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้เช่า ถึงแม้ว่าผู้เช่าจะได้ประโยชน์ทางตรง […]