CFNT เปิดตัวฐานข้อมูล Thailand Climate Finance Tracker ครั้งแรกในไทย

Share

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) องค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ได้เปิดตัวงานวิจัยชิ้นสำคัญ ‘Thailand Climate Finance Landscape’ โดยนําเสนอข้อมูลจาก Thailand Climate Finance Tracker เครื่องมือติดตามกระแสเงินทุนที่ถูกใช้รับมือกับภาวะโลกรวน โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการพัฒนาเครื่องมือดังกล่าวขึ้นในประเทศไทย

CFNT พัฒนาเครื่องมือดังกล่าวขึ้นเพื่อสะท้อนภาพของกระแสเงินทุนที่ใช้เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย  โดยทีมนักวิจัยจะติดตามและปรับปรุงข้อมูลเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดย CFNT  หวังว่า Thailand Climate Finance Tracker จะช่วยฉายภาพภูมิทัศน์ทางการเงินที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของประเทศที่ใช้ลดก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถในการตั้งรับปรับตัวกับภาวะโลกรวน และเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนและเสริมสร้างขีดความสามารถของโทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

“CFNT หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเครื่องมือ Climate Finance Tracker จะช่วยสะท้อนภาพกระแสเงินที่หมุนเวียนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมืออันแข็งแกร่งในการลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ” สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อํานวยการเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) กล่าว

โดยนอกจากการเปิดตัว Thailand Climate Finance Tracker ภายในงานยังมีวงเสวนาซึ่งได้รับเกียรติจากผู้แทนธนาคารโลก ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรุงเทพมหานครเป็นผู้ร่วมเสวนา ก่อนที่ในช่วงท้ายจะมีการกล่าวปาฐกถาปิดงานโดยตัวแทนจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติและกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย

“จนถึงวันนี้ ประเทศไทยยังไม่มีภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ว่าเงินที่ใช้เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีมูลค่าเท่าไร มาจากไหน และลงทุนไปกับอะไรบ้าง โจทย์นี้คือจุดเริ่มต้นของโครงการ Thailand Climate Finance Tracker 2025 ที่จะเชื่อมข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน และฉายให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน ครั้งแรกของประเทศไทย” ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยของ CFNT กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการวิจัย Thailand Climate Finance Tracker 

ภายในงาน 2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย เริ่มต้นด้วยการนำเสนอจาก ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยของ CFNT โดยยกข้อมูลเชิงลึกที่พบจาก Thailand Climate Finance Tracker ว่า ในระยะเวลาราว 7 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยทุ่มเงินอย่างน้อย 1.7 ล้านล้านบาทเพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจากภาพรวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนเงินจากภาคเอกชนมากกว่า 2 ใน 3 สะท้อนความพร้อมและความตื่นตัวของภาคเอกชนต่อโอกาสในเศรษฐกิจสีเขียว ขณะที่งบประมาณจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจมีความใกล้เคียงกัน

“ที่ผ่านมา ไทยได้รับเงินจากธนาคารและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศน้อยมากๆ ทั้งที่หน่วยงานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของภาคพลังงานในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือโครงการ Just Energy Transition Partnership (JETP) ซึ่งนี่นับเป็นโอกาสของไทยที่ยังไม่ได้ตักตวง” ธนิดากล่าวถึงโอกาสของประเทศไทยในการเพิ่มแหล่งเงินทุนเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศ

เมื่อพิจารณาลงในรายภาคเศรษฐกิจที่ได้รับเงินทุนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือ Mitigation Finance จะเห็นได้ว่าภาคพลังงานและภาคการขนส่งได้รับเงินทุนสนับสนุนราว 2 ใน 3 ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยภาคพลังงานได้รับเม็ดเงินสนับสนุนสูงสุด รวมทั้งหมดราว 779,130 ล้านบาท คิดเป็น 45.9% ของเงินลงทุนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด และกระจายตัวอยู่ในโครงการสำคัญ อาทิ โครงการการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา และการติดตั้งฟาร์มโซลาร์เซลล์ในหลายจังหวัด รองลงมาคือ ภาคขนส่ง ที่ได้รับเงินลงทุนราว 315,122 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.6 ของเงินทุนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด โดยมีโครงการสำคัญ อาทิ รถขนส่งมวลชนไฟฟ้า การขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการเพิ่มส่วนต่อขยายของสถานีรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ดี ภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนยังชี้ให้เห็นว่ามีเงินทุนสนับสนุนบางส่วนที่ไม่สามารถจัดประเภทได้ราวร้อยละ 25.8 ของเงินทั้งหมด เนื่องจากแหล่งทุนระบุเพียงยอดรวม จึงขาดรายละเอียดภาคเศรษฐกิจที่นำไปสนับสนุน

เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเทศไทยลงทุนในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนหรือ Adaptation Finance ในสัดส่วนที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ  โดยประมาณการไว้ว่ายอดรวมเงินลงทุนทั้งหมดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2567 ราว 148,096 ล้านบาท โดยมีภาครัฐเป็นผู้ลงทุนหลัก นอกจากนี้ จากภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน จะเห็นได้ว่า เงินสนับสนุนกว่าร้อยละ 95 ไหลไปยังโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการชลประทานและการจัดการน้ำ อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยได้จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan: NAP) แต่เม็ดเงินเหล่านี้สะท้อนว่าไทยอาจยังไม่ได้นำแผนดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

การเก็บข้อมูลเพื่อใช้ทำแผนภาพภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนนี้ใช้เวลาร่วมหนึ่งปีนับตั้งแต่เริ่มโครงการ และรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง อาทิ งบประมาณภาครัฐ ฐานข้อมูลหุ้นกู้ กองทุนสีเขียว รายงานบริษัทมหาชน และโครงการคาร์บอนเครดิต รวมทั้งสิ้นกว่า 3,500 โครงการ โดยทีมวิจัยของ CFNT ตระหนักถึงข้อจำกัดในการเก็บข้อมูล เช่น การเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐและภาคเอกชน ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลที่ได้รับ หรือความคลุมเครือในวัตถุประสงค์ของโครงการ   อย่างไรก็ดี ทาง CFNT เชื่อว่าข้อมูลชุดนี้จะเป็นภาพภูมิทัศน์ทางการเงินที่ใช้รับมือกับภาวะโลกรวนของไทยที่ชัดเจนและครบถ้วนที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฐานข้อมูลนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนมองเห็นโอกาสและความร่วมมือด้านข้อมูลและการลงทุน ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุเป้าหมายในการรับมือกับภาวะโลกรวน โดยทางเครือข่ายฯ มีแผนที่จะพัฒนาให้ข้อมูลมีความแม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้นในอนาคต 

“ดิฉันเชื่อว่านี่คือภาพภูมิทัศน์ทางการเงินที่ชัดเจนและครบถ้วนที่สุด โดยเราจะพัฒนาให้ข้อมูลมีความแม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้นในอนาคต” ธนิดาทิ้งท้าย

การเงินเพื่อบรรเทาโลกรวน: ทบทวนและมองไปข้างหน้า

ภายหลังการนำเสนองานวิจัยจาก ทาง CFNT เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การเงินเพื่อบรรเทาโลกรวน: ทบทวนและมองไปข้างหน้า’ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาอ

ผู้ดำเนินรายการ: ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

  • เมลิดา กู้ด ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเมียนมา ธนาคารโลก            
  • ดร. รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการธนาคารด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • ดร. ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  • ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

ในเวทีเสวนาได้มีการแลกเปลี่ยนถึงความสำคัญและความท้าทายของการจัดสรรเงินทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ข้อจำกัดที่ภาคการเงินเผชิญ โดยผู้ร่วมเสวนาทั้งหมดต่างเห็นพ้องต้องการว่า ข้อมูล นวัตกรรม และการร่วมมือ เป็นสามปัจจัยหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนระบบการเงินไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และความร่วมมือของภาครัฐ ผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน และองค์กรระหว่างประเทศ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านและบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย

จากอลหม่านสู่ยืดหยุ่น: ร่วมออกแบบอนาคตการปรับตัวต่อโลกรวน

ในช่วงบ่าย เครือข่ายฯ ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘จากอลหม่านสู่ยืดหยุ่น: ร่วมออกแบบอนาคตการปรับตัวต่อโลกรวน’ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ

ผู้ดำเนินรายการ: คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล

  • ดร. กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
  • ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • ดร. นาอีม แลนิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพื้นที่และออกแบบเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • ดร. วิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานคร
  • คุณวรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร

ผู้ร่วมเสวนามองว่าภาวะโลกรวนจะส่งผลกระทบรุนแรงและเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต และประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมทั้งด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

 

เกินกว่าเร่งด่วน ความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนต่อภาวะโลกรวน

งาน Climate Finance Tracker 2025: Uncovering Thailand’s Climate Finance Flow ปิดท้ายด้วยปาฐกถา ‘เกินกว่าเร่งด่วน ความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนต่อภาวะโลกรวน’ โดยได้รับเกียรติจากผู้แทนระดับสูงจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme หรือ UNEP) และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

สุธีร์ ชามา ผู้ประสานงานระดับภูมิภาคด้านการเงินและการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ทั่วโลกยังต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศ และเงินที่รวบรวมได้ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนเงินทุนที่ทั่วโลกต้องการ โดยข้อมูลคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยปิดช่องว่างและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยงานวิจัย Thailand Climate Finance Landscape ของ CFNT จะช่วยให้เห็นช่องว่างและความต้องการเม็ดเงินสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน และจะทำให้การระดมทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนเป็นตัวเร่งการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดร. กิตติศักดิ์ พฤกษกานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปิดท้ายว่า ภาครัฐไทยมีบทบาทในการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่ผ่านมา ภาครัฐได้วางกลไกและมาตรการในการเปลี่ยนผ่านด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย ทั้งเครื่องมือด้านกฎหมายและเครื่องมือทางการเงิน อาทิ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับกลไกราคาคาร์บอนและการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และการปรับเปลี่ยนระบบจัดซื้อจัดจ้างของรัฐให้เป็นการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว หรือ Green Climate Procurement เพื่อสนับสนุนสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

  • สามารถดูข้อมูล Climate Finance Tracker พร้อมทั้งระเบียบวิธีวิจัยและเอกสารประกอบการนำเสนอ ได้ที่: 2025 Climate Finance Tracker
  • ดูเอกสารนำเสนอทั้งหมดเพิ่มเติม ได้ที่:

เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT)