
เพราะความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องเฉพาะหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นพันธกิจที่ทั่วโลกต้องมองเห็นภาพเดียวกัน เพื่อรักษา ‘บ้าน’ ของเราไว้เพื่อคนรุ่นหลัง
ในช่วงท้ายของงาน ‘2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย’ ที่เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน หรือ Climate Finance Network Thailand (CFNT) ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้แทนจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme หรือ UNEP) และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้เกียรติกล่าวถึงหน้าที่อันเร่งด่วนของทุกภาคส่วนต่อการร่วมกันรับมือภาวะโลกรวน
องค์กรระหว่างประเทศมองสถานการณ์ของสภาวะโลกรวนอย่างไร? และประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือภาวะโลกรวนและเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจปลอดคาร์บอน? หาคำตอบได้ในบทความด้านล่างนี้

3 ข้อเสนอด้านการเงินเพื่อรับมือโลกรวน – สุธีร์ ชามา
สุธีร์ ชามา ผู้ประสานงานระดับภูมิภาคด้านการเงินและการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ UNEP กล่าวถึงผลกระทบจากภาวะโลกรวนว่า ภาวะโลกรวนจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกสูญเสียเงินทุนราว 13 ล้านล้าน และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านล้านบาทใน พ.ศ. 2573[1]
ถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่น่าหวาดหวั่น แต่สุธีร์ชี้ว่ายังมีความหวังอยู่ไม่น้อย โดยข้อมูลจาก Unit Emissions Gap Report ของ UNFCC ยืนยันว่า โลกมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีเพียงพอที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 2 องศาเซลเซียส ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี พ.ศ. 2567 อยู่ที่ 17.1 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นสูงถึง 25% จากปีก่อน ขณะที่ภาคพลังงาน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโตในทางบวก โดยในปี พ.ศ. 2563 การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 5500 GW เพิ่มขึ้นสามเท่าจาก 5 ปีก่อน
สุธีร์ชี้ว่าตัวเลขทั้งหมดเป็นสัญญาณที่ดีของการตอบสนองต่อภาวะโลกรวน อย่างไรก็ดี อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากยิ่งขึ้นคือ การกำหนดให้เงินทุนทั่วโลกไหลอย่างถูกทิศทาง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ยากหากปราศจากข้อมูลที่โปร่งใส แม่นยำ และชัดเจน เพราะข้อมูลที่เผยให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ ดังเช่นข้อมูลภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนของประเทศไทยที่จัดทำโดยทีมวิจัยของ CFNT หรือที่เรียกว่า Thailand Climate Finance Tracker นั้นมีบทบาทสำคัญมากในการอุดช่องว่างที่ขาดแคลนเงินทุนและทำให้กระแสเงินทุนไหลไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องในการรับมือภาวะโลกรวน
โดยเขาเสริมว่าปัจจุบัน UNEPFI กำลังทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย และบริษัทจัดการสินทรัพย์เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนเป็นศูนย์ รวมถึงทำงานร่วมกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องในการจัดทำ ASEAN Adaptation Taxonomy เพื่อทำให้การจำแนกข้อมูลได้ง่ายขึ้น และสามารถจัดประเภทได้ว่าเงินทุนใดเกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ
สุธีร์เสนอว่าในแง่ของการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน สิ่งที่ควรทำที่สุดในปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ประการ
ข้อแรก จัดสรรเงินทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน ต้องยุติการสนับสนุนกิจกรรมที่สนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันมาเน้นการลงทุนที่สนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างแท้จริง รวมถึงภาครัฐควรลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ด้วยแนวทางการเงินแบบผสมผสานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนแทนการอุดหนุนหรือมอบเงินอย่างไม่มีเป้าหมายชัดเจนให้กับทุกโครงการแบบไม่มีเป้าหมาย
ข้อสอง กฎระเบียบในการออกรายงาน (mandatory reporting)
สุธีร์เสนอว่า รัฐบาลควรออกกฎระเบียบภาคบังคับให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และเผยให้เห็นวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เขายกตัวอย่างการรณรงค์ของ UNEP ที่พยายามผลักดันให้รัฐบาลมีนโยบายจัดกลุ่มงบประมาณด้านสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องผลักดันให้ภาครัฐออกกฎระเบียบหรือข้อกำหนดที่ทำให้ทุกภาคส่วนต้องเปิดเผยรายงาข้อมูล เกี่ยวกับเงินทุนที่บริษัทและรัฐใช้ในกิจกรรมต่างๆ อย่างโปร่งใสและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อทำให้การจัดทำข้อมูลเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนมีความแม่นยำยิ่งขึ้น
ข้อสาม ผลกำไรของภาคเอกชน
แม้สถาบันการเงินและภาคเอกชนมองผลกำไรเป็นสำคัญ ภาครัฐจำเป็นต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้แก่ภาคส่วนดังกล่าว เช่น นโยบายการตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือนโยบาย 30@30 ที่ประเทศไทยวางเป้าหมายในการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายใน พ.ศ. 2573 สุธีร์ชี้ว่านโยบายดังกล่าว เป็นตัวอย่างของการส่งสัญญาณที่ชัดเจนสู่ภาคเอกชนว่าควรลงทุนในทิศทางไหน และเป็นการกำหนดโดยนัยให้เม็ดเงินไหลเวียนสู่ทิศทางที่รับมือกับภาวะโลกรวนมากขึ้น

งานสำคัญ 5 ชิ้นของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์
ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เริ่มต้นด้วยการอธิบายจุดยืนของภาครัฐไทยที่จะมุ่งสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ที่เชื่อมทุกฝ่ายที่ทำงานด้านความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไว้ด้วยกัน และเป็นผู้ลงทุนหลักในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยเขานำเสนอว่ากรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังตั้งเป้าหมายบรรลุงานทั้งหมด 5 ข้อ ได้แก่
งานชิ้นที่ 1 จัดทำงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อสร้างกลไกการจัดสรรงบประมาณเพื่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของงบประมาณคล้ายคลึงกับงบประมาณด้านน้ำหรือด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและชัดเจนในการใช้จ่ายงบประมาณ
งานชิ้นที่ 2 การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
งานชิ้นที่ 3 การให้ระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ความสำคัญต่อมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาฉลาก G-Green+ สำหรับสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงฉลากใบไม้สีเขียว ฉลากคาร์บอนฟุตพรินท์ หรือฉลากตะกร้าเขียว
งานชิ้นที่ 4 แก้ไขแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก NDC 3.0
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้แก้ไขแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีสาระสำคัญเพื่อขยับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์จาก พ.ศ. 2608 มาสู่ พ.ศ. 2593 เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นและทะเยอทะยานของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำโดยรายงานฉบับดังกล่าวมีกำหนดส่งในเดือนกันยายน หรือก่อนการประชุม COP30 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ณ ประเทศบราซิล
“ผมชอบเปรียบเทียบการขยับเป้าหมายเรื่องก๊าซเรือนกระจกกับการลดน้ำหนัก ตามปกติเรามักคิดว่าขอกินให้อ้วนก่อนแล้วค่อยลด แต่วิธีคิดนี้มันใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าโลกไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เราต้องไปสู่วิธีคิดแบบใหม่คือ การยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยทันที” ดร. กิตติศักดิ์กล่าว
เขาเสริมว่าตอนนี้ประเทศไทยได้ข้อสรุปแล้วว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องรับเงินช่วยเหลือจากนานาชาติในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ตั้งเป้าว่าไทยจะลงทุนในอัตรา 70% และขอรับการช่วยเหลือในอัตรา 30% ของเงินทุนทั้งหมด
“ตอนนี้เราก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าประเทศจะลงทุนในการเปลี่ยนผ่านสู่ Net-Zero ประมาณ 70% ของเงินทุนทั้งหมด และขอรับการสนับสนุนจากนานาชาติอีก 30% ของเงินทุน ซึ่งเงินทุนส่วนหลังนี้ เราต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงจังของเราในการรับมือกับภาวะโลกรวนให้สากลโลกรับทราบ” ดร. กิตติศักดิ์กล่าว
งานชิ้นที่ 5 ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
ร่าง พ.ร.บ. นี้จะเป็นกรอบใหญ่สำคัญของประเทศในการรับมือกับภาวะโลกรวน สามารถแบ่งออกเป็น 5 หลักการใหญ่คือ นโยบายและแผนการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อภาวะโลกรวน กลไกการเงิน และบทลงโทษ
ดร. กิตติศักดิ์ได้เน้นย้ำถึงกลไกด้านการเงินจากกฎหมายฉบับนี้ โดยนำเสนอว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวสัมพันธ์กับแผนทางการเงินในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมแบบยั่งยืนและคาร์บอนต่ำ โดยรัฐบาลในฐานะผู้เก็บภาษีจะนำรายได้จากภาษีทั่วไป อาทิ ภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมกับรายได้ส่วนใหม่ที่จัดเก็บตามสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ ภาษีคาร์บอนหรือการซื้อขายสิทธิในการปล่อยคาร์บอนหรือ ETS จัดสรรคืนสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การจัดทำสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยหรือได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสภาวะโลกรวน รวมถึงนำไปส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เช่น เงินกู้สีเขียวหรือเงินร่วมลงทุน
“เราศึกษาและออกแบบโมเดลนี้โดยอิงจากการพัฒนากฎหมายทั่วโลก ทั้งจากประเทศที่ร่ำรวยจนถึงรายได้น้อย ก่อนเลือกดูว่ารูปแบบไหนที่เหมาะกับประเทศไทย เราขอให้เชื่อมั่นในภาครัฐเพราะไม่มีทางที่รัฐจะออกกฎหมายมาเพื่อทำลายประชาชนตัวเอง ” ดร. กิตติศักดิ์กล่าวถึงที่มาของโมเดลการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนของไทย
ถึงแม้ตัวเลขหลายตัวจะชี้ถึงความน่ากังวลสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่จากสิ่งที่ สุธีร์ และ ดร.กิตติศักดิ์กล่าวสะท้อนว่าประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง และตราบใดที่เรายังเดินไปในทิศทางเช่นนี้ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ย่อมส่องมาให้เห็นหนทางในที่สุด
ดาวน์โหลดเอกสารนำเสนอของ DCCE ได้ที่:

[1] ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ประเมินโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCC)