ขับเคลื่อนภาคการเงินและการลงทุน
เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน และ สร้างอนาคตที่ยั่งยืน
Climate Finance Network Thailand (CFNT) หรือ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2567 เราเป็นองค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งมั่นสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและบรรลุเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้อยู่ในกรอบ 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส
การเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย
CFNT ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของภาคการเงินในการรับมือกับภาวะโลกรวน วัตถุประสงค์หลักของ CFNT คือการจุดประกายความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และขยายผลลัพธ์เชิงนโยบายด้านการเงินเพื่อภาวะโลกรวน ผ่านงานวิจัยที่เน้นเสนอทางออกและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับขยายเครือข่ายคนที่สนใจในประเด็นเดียวกัน เป้าหมายสูงสุดของเราคือการช่วยให้ภาคการเงินการลงทุนในประเทศไทยรับมือความท้าทายด้านภาวะโลกรวนได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการผนึกกำลังกับองค์กรพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน CFNT มุ่งมั่นที่จะช่วยสร้างภูมิทัศน์ทางการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของโลก และส่งเสริมเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพร้อมรับมือวิกฤตโลกรวน
กิจกรรม
งานเปิดตัวเครือข่ายฯ พร้อมแถลงผลวิจัยชิ้นแรก“การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย”
วันที่ 21 มิ.ย. 67 เวลา 08:30 – 12:30 น. ที่ ห้องซากุระ ชั้น 4 โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand หรือ CFNT) ได้จัดงานแถลงเปิดตัวเครือข่ายพร้อมผลงานวิจัยชิ้นแรก “ชำระบัญชีฟอสซิล: การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย” และเสวนาในหัวข้อ “เพิ่มพลังเพื่อรับมือโลกรวน: แผนพลังงานชาติฉบับใหม่และกฎหมายโลกรวน” ผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) นที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน กรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา หุ้นส่วน บริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด และ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
งานวิจัย แนะนำ
การชำระบัญชีฟอสซิล: การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย
งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบทางการเงินจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย ผ่านการคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (stranded assets) ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คณะวิจัยใช้แบบจำลองการคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow model หรือ DCF model) ของโรงไฟฟ้าลักษณะนี้รายโรง ในการวิเคราะห์ทั้งสิ้น 3 ฉากทัศน์ ประกอบด้วย (1) กรณีฐาน (base case) ใช้แผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561 ถึง 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (2) กรณีการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็ว และ (3) กรณีพลังงานหมุนเวียน 100% ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญจากสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 3.6 แสนล้านบาทสำหรับฉากทัศน์การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็ว และ 5.3 แสนล้านบาทในฉากทัศน์พลังงานหมุนเวียน 100% สะท้อนความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในไทย และตอกย้ำความสำคัญของการเร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในกรอบเวลาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการรับมือภาวะโลกรวนในระดับโลก ซึ่งความชัดเจนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
Thailand’s Fossil Lock-In:Stranded Risk of Midstream Oil & Gas Infrastructure
รายงานฉบับนี้วิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินจากการลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซขั้นกลางน้ำในประเทศไทยที่รวมถึงธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ อาทิ โรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่มูลค่าเงินลงทุน 1.89 แสนล้านบาท และโครงการท่าเรือเพื่อนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี 6.6 หมื่นล้านบาทอาจเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ เนื่องจากต้องเผชิญผลกระทบจากนโยบายพลังงานระดับโลกและการใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทน รวมถึงความต้องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่จะแตะระดับสูงสุดในปี 2030 หากต้องการบรรเทาความเสี่ยงจากสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต ประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านพลังงานโดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสะอาดมากยิ่งขึ้น และปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับคำมั่นด้านภูมิอากาศที่ให้ไว้กับนานาประเทศ การเปลี่ยนนโยบายจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในห้วงยามของการเปลี่ยนผ่าน โดยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนที่สูญค่าและสร้างความยั่งยืนในอนาคต
บทความ
วิกฤติโลกรวนสร้างความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจอย่างไร?
เนื่องจากภาคธุรกิจคือตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ และขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจเองก็กำลังเผชิญความเสี่ยงมหาศาลจากความแปรปรวนของสภาพอากาศเช่นนี้ เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาคธุรกิจคือกุญแจสำคัญที่จะพาไปสู่ทางออกวิกฤตโลกรวน หากว่าภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำได้
วิกฤติโลกรวนเกิดจากอะไร? วิทยาศาสตร์ว่าด้วยภาวะโลกร้อน
ไม่ว่าจะเผชิญกับอากาศร้อนดังนรก หรือโดนถล่มโดยฝนห่าใหญ่ จนถึงปัจจุบันนี้ยังมีคนเชื่ออยู่ว่า “โลกรวน” หรือ Climate Change ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากมนุษย์ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ แม้วิทยาศาตร์จะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้มานานนับทศวรรษก็ตาม ฝนถล่มฟ้าเมื่อหลายวันที่ผ่านมาคงจะทำให้ชีวิตหลายคนลำบากไม่น้อย ถึงแม้ในอีกมุมนึงฝนห่าใหญ่จะมาคลายความร้อนที่ต่อเนื่องเนิ่นนานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมไปได้บ้าง อากาศที่ร้อนขึ้นอย่างผิดสังเกตกลายเป็นกระแสเสียงบ่นระงมว่า ‘ร้อนกว่าสมัยเด็กๆ’ ความรู้สึกของเราสอดคล้องกับสถิติที่ Copernicus Climate Change Service เปิดเผยว่าอุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกในเดือนเมษาที่ผ่านมาร้อนขึ้นราว 1.61 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร้อนทะลุปรอทเมื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ 99 คนจาก 100 คน เห็นต้องตรงกันว่าแนวโน้มอุณภูมิบนพื้นผิวโลกเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมามีสาเหตุสำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยแก๊สเรือนกระจกอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ การรับมือ ‘สภาวะโลกร้อน’ เป็นประเด็นที่ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวางบนเวทีโลกมายาวนานกว่าสามทศวรรษโดยมีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการคืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ซึ่งช่วงแรกเริ่มประสบอุปสรรคและคำถามนานัปการ แต่เมื่อภาวะโลกรวนเริ่มเผยตัวรุนแรงยิ่งขึ้น นานาประเทศจึงเริ่มตระหนักว่าภาวะโลกร้อนคือ ‘ของจริง’ ไม่ใช่แค่คำทำนายหายนะในนวนิยายวิทยาศาสตร์ ความพยายามรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังจึงเริ่มต้นอีกครั้งโดยมีหมุดหมายสำคัญคือข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมาซึ่งมุ่งมั่นจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากชวนผู้อ่านไปคลายข้อสงสัยว่าด้วยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของภาวะโลกร้อน รวมถึงข้อพิสูจน์ว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ต้นธารของวิทยาศาสตร์โลกร้อน แม้หลายคนจะมองว่าศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ทราบไหมครับว่าครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศจะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ต้องสืบย้อนไปถึงปี 1896 […]
‘สมาร์ทกริด’ เทคโนโลยีจำเป็น ก่อนเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน
ระบบสายส่งไฟฟ้า (electrical grid) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ระบบกริด เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการขององค์การรัฐวิสาหกิจของไทย และไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก แต่ระบบสายส่งไฟฟ้ามีความสำคัญต่อระบบไฟฟ้าไทย เพราะช่วยให้เราทุกคนมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง ในยุควิกฤติโลกรวนที่นานาประเทศทั่วโลกต่างต้องลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ระบบสายส่งไฟฟ้านับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานอันดับแรกๆ ที่ต้องเร่งพัฒนา เพราะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สาเหตุก็เนื่องจากรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เดิมทีระบบสายส่งไฟฟ้าสร้างมาเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าแรงสูงจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งไปยังครัวเรือนต่างๆ แต่พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา จะคล้ายกับโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่กระจายตัวอยู่หลากหลายแหล่ง ยังไม่นับลักษณะการผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากคาดการณ์ไม่ดี จัดการไม่ได้ ระบบไฟฟ้าทั้งหมดก็อาจระส่ำระสาย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพิ่มเป้าหมายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าจาก 20 เปอร์เซ็นต์เป็น 37 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2580 โดยมีพลังงานแสงอาทิตย์เป็นตัวชูโรงโดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยล่าสุดรัฐบาลเตรียมประกาศแผนพลังงานชาติพร้อมกับระบุว่า พร้อมเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบให้ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ความฝันดังกล่าวคงยากจะเป็นความจริง หากรัฐบาลไม่ทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนา ‘สมาร์ทกริด’ ให้สามารถรองรับรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้าด้วยสมาร์ทกริด สมาร์ทกริดไม่มีนิยามตายตัวที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institute of Standards and […]
กลไกค่าไฟที่ทำให้คนไทยกลายเป็น ‘นักแบก’
Photo credit: สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) หน้าร้อนแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงเริ่มหลอนกับใบเรียกเก็บค่าไฟฟ้าที่กำลังจะมาถึง เพราะย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ผมและผู้อ่านหลายคนคงเจอกับปัญหา ‘ค่าไฟทะลุเพดาน’ กับตาตัวเอง โดยมีสาเหตุสำคัญเกิดจากสององค์ประกอบหลักคืออากาศที่ร้อนจัดและค่าไฟผันแปรที่พุ่งกระฉูด นับตั้งแต่วันนั้น ประเด็นเรื่องค่าไฟก็เป็นปัญหาที่ค้างคาใจผมอยู่ตลอดเวลา จนมาวันนี้จึงพอจะสรุปได้ว่าปัญหาทั้งหมดทั้งมวลอาจอยู่ที่ ‘กลไกราคา’ ปัจจุบัน ที่ส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดมายังผู้บริโภคโดยตรง (Cost Pass-Through) ซึ่งสามารถตีความว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยทั้งระบบนั้นไม่มีความเสี่ยงและไม่มีทางขาดทุน เพราะไม่ว่าต้นทุนในการผลิตหรือราคาเชื้อเพลิงปรับสูงขึ้นเพียงใด ต้นทุนทุกบาททุกสตางค์ก็จะส่งผ่านมายังคนไทยทุกคนแบบหารเฉลี่ย คงไม่ผิดนักหากจะยกย่องคนไทยว่าเป็น ‘นักแบก’ และต้องก้มหน้าก้มตาแบกต่อไปตราบใดที่กลไกราคากำหนดค่าไฟฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาไปสำรวจโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายไฟฟ้าของไทย รวมถึงแนวทางในการเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าที่น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ โครงสร้างพลังงานไทย เมื่อพูดเรื่องระบบไฟฟ้า หนึ่งในชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือ กฟผ. องค์กรรัฐวิสาหกิจที่ก่อตั้งโดยมีบทบาทหลักเพื่อ ‘ผลิตไฟฟ้า’ อย่างไรก็ตาม บทบาทของ กฟผ.เปลี่ยนแปลงไปหลังจากไทยปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าสู่ระบบที่มีผู้รับซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว (Enhanced Single Buyer) ผมขอชวนผู้อ่านมาลองทายกันเล่นๆ ว่า ล่าสุด กฟผ.มีกำลังการผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนทั้งสิ้นกี่เปอร์เซ็นต์ของระบบไฟฟ้าไทย 90%? – ตัวเลขนี้สูงเกินไปมากเลยครับ 75%? – ก็ยังสูงเกินไปอยู่ดี 50%? – ครึ่งๆ แบบนี้ก็ยังไม่ถูกครับ […]
V2G สร้างรายได้จากยานยนต์ไฟฟ้าให้รถเป็นโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋ว ในฐานะ ‘แบตเตอรี่มีล้อ’
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายประเทศรวมถึงไทย ลังเลที่จะเปลี่ยนผ่านการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียน คือความไม่เสถียรของระบบผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมลมฟ้าอากาศได้ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์จึงผันผวนแบบนาทีต่อนาที ต่างจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติที่สามารถกดปุ่มเปิดปิดตามความต้องการ เหล่านักวิทยาศาสตร์และวิศวกรต่างพยายามคิดค้นนวัตกรรมเพื่อจัดการความผันผวนของพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ หนึ่งในนั้นคือแบตเตอรี่สำหรับเก็บประจุไฟฟ้า ซึ่งเปรียบเสมือนข้อต่อที่ช่วยจัดการความไม่สมดุลระหว่างกำลังการผลิตไฟฟ้าและความต้องการใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เหล่าประเทศที่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอนก็ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ คือต้นทุนค่าแบตเตอรี่ที่ปัจจุบันยังนับว่าแพงแสนแพง หากจะติดตั้งแบตเตอรี่ที่จ่ายไฟเพียงพอสำหรับบ้านหนึ่งหลัง ก็อาจต้องใช้งบประมาณราวครึ่งล้านบาท แต่ความนิยมของยานยนต์ไฟฟ้าอาจเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพราะคนจำนวนมากยอมควักกระเป๋าเงินร่วมล้านเพื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ ‘แบตเตอรี่ที่มีล้อ’ เท่ากับว่าถ้าประเทศไหนมีโครงข่ายไฟฟ้าหรือกริดที่ฉลาดเพียงพอ ก็จะสามารถรับซื้อไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าที่เสียบชาร์จอยู่ได้ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูงในบางช่วงเวลา แนวคิดดังกล่าวเรียกว่าการจ่ายไฟฟ้าจากยานยนต์สู่กริด (vehicle-to-grid) หรือ V2G ซึ่งมีโครงการทดลองหลายแห่งทั้งในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยที่ Renault-Nissan-Mitsubishi พันธมิตรสามค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่เป็นเจ้าตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีรับและจ่ายไฟฟ้าในคันเดียวกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกิดความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในแวดวง V2G คือการที่ บริษัท Octopus Energy รับซื้อไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จากยานยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักร โดยใช้แพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Kraken ระบบอัตโนมัติที่จะจัดการ “ชาร์จไฟรถยนต์ในช่วงที่ค่าไฟถูก และจ่ายไฟเข้าสู่กริดในช่วงที่มีความต้องการใช้สูง” โดยเพียงแค่เสียบชาร์จไว้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง เจ้าของรถยนต์ชาวอังกฤษก็สามารถทำเงินได้ 850 ปอนด์ หรือราว 40,000 บาทต่อปี ในยุคที่วิกฤติโลกรวนเป็นเรื่องเร่งด่วน […]
ปิดสวิตช์ตัวการที่ทำให้ค่าไฟแพง ในงานเสวนา “ปิด-เปิดสวิตช์ โครงสร้างค่าไฟให้แฟร์”
วันที่ 23 มีนาคม ซึ่งตรงกับวัน Earth Hour หรือวันปิดไฟเพื่อโลก กลุ่ม JustPow อันเป็นการร่วมกันขององค์กรที่ทำงานในด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ Data Hatch, Epigram, Greenpeace Thailand, JET in Thailand และ Rocket Media Lab จัดงานเสวนา “ปิด-เปิดสวิตช์ โครงสร้างค่าไฟให้แฟร์และโปร่งใส ประชาชนต้องทำอย่างไร” ที่ชั้น L หอศิลปกรุงเทพฯ (BACC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการ ‘ปิดสวิตช์อะไรให้ค่าไฟแฟร์ เปิดสาเหตุอะไรทำค่าไฟแพง’ ระหว่างวันที่ 19-24 มีนาคม สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัย Fair Finance Thailand กล่าวถึงปัญหาความไม่เป็นธรรมของโครงสร้างค่าไฟว่า มี 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ ประเด็นที่ 1 การที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เกินจริง ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและส่งผลต่อค่าไฟ โดยการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเกินจริงที่เกิดขึ้นมาตลอด […]
สื่อ
CFNT Webinar 1 ภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในระดับโลกและประเทศไทย
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) ได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ‘Overview of Climate Finance: Global and Thailand Perspectives’ นำเสนอโดย ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ที่ปรึกษาทางเทคนิคของ CFNT ปัจจุบัน ดร. อรศรัณย์ เป็นที่ปรึกษาให้กับธนาคารโลกด้านการเงินเพื่อภาวะโลกรวนและการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เธอมีประสบการณ์การทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งมากว่า 19 ปี โดยมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กระบวนการต่อรอง รุก รับ ปรับตัว ของชุมชนกับกลไกคาร์บอนเครดิต
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ ร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “กระบวนการต่อรอง รุก รับ ปรับตัว ของชุมชนกับกลไกคาร์บอนเครดิต” นำเสนอโดย สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) คุณสฤณีได้พูดคุยแลกเปลี่ยน ถึงหลักการ ประโยชน์และความท้าทายของคาร์บอนเครดิตป่าไม้ ร่วมถึงบทบาทสำคัญของชุมชนผู้ดูแลผืนป่าที่จะป้องกันไม่ให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตป่าไม้กลายเป็นเครื่องมือการฟอกเขียว
ความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจและหุ้นไทยจากวิกฤติโลกร้อน
‘รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์’ หัวหน้าทีมวิจัยจากเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand) พูดคุยในหัวข้อ “ความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจและหุ้นไทยจากวิกฤติโลกร้อน คลื่นการเปลี่ยนผ่านกำลังก่อตัว แล้วไทยอยู่ตรงไหนกัน?” กับคุณโสภณ ศุภมั่งมี บรรณาธิการ aomMoney ครอบคลุมประเด็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ และการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand – CFNT) เป็นศูนย์วิจัยและองค์กรเครือข่าย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2567 เรามุ่งเน้นการส่งเสริมแนวปฏิบัติทางการเงินที่ยั่งยืนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส วัตถุประสงค์สูงสุดของเราคือการเพิ่มการตอบสนองของภาคการเงินไทยต่อความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ และร่วมมือกับพันธมิตรในการกำหนดภูมิทัศน์ทางการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนระดับโลก เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และครอบคลุม