ขับเคลื่อนภาคการเงินและการลงทุน
เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน และ สร้างอนาคตที่ยั่งยืน
Climate Finance Network Thailand (CFNT) หรือ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2567 เราเป็นองค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งมั่นสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและบรรลุเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้อยู่ในกรอบ 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส
การเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย
CFNT ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของภาคการเงินในการรับมือกับภาวะโลกรวน วัตถุประสงค์หลักของ CFNT คือการจุดประกายความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และขยายผลลัพธ์เชิงนโยบายด้านการเงินเพื่อภาวะโลกรวน ผ่านงานวิจัยที่เน้นเสนอทางออกและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับขยายเครือข่ายคนที่สนใจในประเด็นเดียวกัน เป้าหมายสูงสุดของเราคือการช่วยให้ภาคการเงินการลงทุนในประเทศไทยรับมือความท้าทายด้านภาวะโลกรวนได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการผนึกกำลังกับองค์กรพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน CFNT มุ่งมั่นที่จะช่วยสร้างภูมิทัศน์ทางการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของโลก และส่งเสริมเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพร้อมรับมือวิกฤตโลกรวน
กิจกรรม
แบบสอบถามนักลงทุนที่สนใจลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป และพลังงานหมุนเวียน
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน หรือ Climate Finance Network Thailand (CFNT) อยู่ระหว่างการทำโครงการวิจัย “การระดมทุนจากมวลชน (Crowdfunding) เพื่อติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือนหรือชุมชนในประเทศไทย” ขอความร่วมมือจากท่านที่มีประสบการณ์ในการลงทุน และสนใจการลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainable Investment: SI) หรือการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Responsible Investment: RI) ช่วยตอบแบบสอบถามเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำงานวิจัย…
งานวิจัย แนะนำ
A Better Path is Possible Critique and Suggestions to Draft PDP2024
รายงานฉบับนี้ฉายภาพการวิเคราะห์ร่างแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า พ.ศ. 2567 หรือร่างแผน PDP2024 ซึ่งยังคงพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2580 ทั้งที่ประเทศตั้งเป้าว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ร่างแผน PDP2024 ยังเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่อีก 6,300 เมกะวัตต์ รวมถึงใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา เช่น การผสมไฮโดรเจนกับก๊าซเพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors: SMRs) แทนที่จะเร่งพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนกว่าอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ รายงานฉบับนี้ฉายให้เห็นต้นทุนแฝงที่มาพร้อมกับการปล่อยคาร์บอน ความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติเหลว และค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อพัฒนาระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน เรามองว่าทางเลือกที่เหมาะสมกว่าคือการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเร่งด่วนซึ่งจะช่วยลดต้นทุนพลังงาน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยกำหนดไว้ในเวทีโลก หากไทยต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องปรับวิธีคิดในการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าโดยมองไปข้างหน้า มากกว่าพยายามต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีในปัจจุบันซึ่งกำลังจะล้าสมัยในอนาคตอันใกล้
Thailand’s Fossil Lock-In:Stranded Risk of Midstream Oil & Gas Infrastructure
รายงานฉบับนี้วิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินจากการลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซขั้นกลางน้ำในประเทศไทยที่รวมถึงธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ อาทิ โรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่มูลค่าเงินลงทุน 1.89 แสนล้านบาท และโครงการท่าเรือเพื่อนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี 6.6 หมื่นล้านบาทอาจเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ เนื่องจากต้องเผชิญผลกระทบจากนโยบายพลังงานระดับโลกและการใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทน รวมถึงความต้องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่จะแตะระดับสูงสุดในปี 2030 หากต้องการบรรเทาความเสี่ยงจากสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต ประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านพลังงานโดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสะอาดมากยิ่งขึ้น และปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับคำมั่นด้านภูมิอากาศที่ให้ไว้กับนานาประเทศ การเปลี่ยนนโยบายจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในห้วงยามของการเปลี่ยนผ่าน โดยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนที่สูญค่าและสร้างความยั่งยืนในอนาคต
การชำระบัญชีฟอสซิล: การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย
งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบทางการเงินจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย ผ่านการคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (stranded assets) ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คณะวิจัยใช้แบบจำลองการคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow model หรือ DCF model) ของโรงไฟฟ้าลักษณะนี้รายโรง ในการวิเคราะห์ทั้งสิ้น 3 ฉากทัศน์ ประกอบด้วย (1) กรณีฐาน (base case) ใช้แผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561 ถึง 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (2) กรณีการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็ว และ (3) กรณีพลังงานหมุนเวียน 100% ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญจากสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 3.6 แสนล้านบาทสำหรับฉากทัศน์การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็ว และ 5.3 แสนล้านบาทในฉากทัศน์พลังงานหมุนเวียน 100% สะท้อนความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในไทย และตอกย้ำความสำคัญของการเร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในกรอบเวลาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการรับมือภาวะโลกรวนในระดับโลก ซึ่งความชัดเจนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
บทความ
พลังงานแสงอาทิตย์แพงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลจริงหรือ?
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เคยยึดติดกับความคิดที่ว่าพลังงานหมุนเวียนเป็นทางเลือกราคาแพงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันคือวันที่รัสเซียตัดสินใจรุกรานยูเครนที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ตลาดก๊าซทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเป็นสัดส่วนสูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตก๊าซเองได้บางส่วน แต่ราคาจำหน่ายเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าก็ผันผวนไปตามตลาดโลก นี่คือสาเหตุที่ราคาไฟฟ้าไทยพุ่งทะลุไปเกิน 5 บาทต่อหน่วยซึ่งนับว่าสูงเป็นประวัติการณ์! ในฐานะนักการเงิน ผมพยายามหาทางออกในระยะยาว แต่น่าเสียดายที่ตลาดไฟฟ้าของไทยเป็นระบบผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจ ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ จึงถูก ‘มัดมือชก’ ทำให้มีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือคือต้องหาทางผลิตไฟฟ้าด้วยตนเอง ผมจึงหันมามองศึกษาต้นทุนการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันเพื่อประกอบการตัดสินใจ แม้ว่าภาพจำของพลังงานแสงอาทิตย์คือการที่รัฐรับซื้อในราคามากกว่า 6 บาทเมื่อราวทศวรรษก่อน แต่เชื่อไหมครับว่าต้นทุนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ถูกลงมาก องค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency) ประมาณการว่าต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงถึง 83 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2010–2022 และถ้าหันไปดูราคารับซื้อของรัฐไทยเอง ก็พบว่าหล่นลงมาอยู่ที่ 2.20 บาท เท่ากับว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่อหน่วยย่อมต่ำกว่าตัวเลขดังกล่าวอย่างแน่นอน แต่ต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงสักบาทแบบนี้จะต้องคำนวณต้นทุนอย่างไร? ด้วยความฉงนสงสัย ผมก็ไปค้นจนได้คำตอบคือคำนวณจาก ‘ต้นทุนไฟฟ้าปรับระดับ’ (Levelized Cost of Energy) หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า LCOE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบว่าต้นทุนไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานใดราคาต่ำกว่ากัน LCOE คำนวณอย่างไร การผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น แม้จะได้ ‘ไฟฟ้า’ เป็นผลผลิตเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างสำคัญคือพลังงานหมุนเวียนไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าฟอสซิลต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงซึ่งมีราคาผันผวนตลอดเวลา เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าโรงไฟฟ้าใดต้นทุนต่ำกว่า […]
อยากให้ยักษ์ใหญ่มาลงทุน แต่ระบบไฟฟ้าไทย ‘เขียว’ พอแล้วหรือยัง?
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม หลายคนคงผ่านตาข่าวฮือฮาว่าด้วยการมาเยือนประเทศไทยของ สัตยา นาเดลลา ผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก Microsoft พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะมาลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย และพัฒนาศักยภาพชาวไทยให้พร้อมใช้งานเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ ข่าวดังกล่าวนับเป็นแสงแห่งความหวังของใครหลายคน ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญหน้ากับทางตัน เพราะหวังพึ่งพาสารพัดอุตสาหกรรมยุคเก่า โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เป็น ‘เดอะแบก’ ของเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ทั้งรถยนต์สันดาปที่กำลังเผชิญภัยคุกคามจากยานยนต์ไฟฟ้า และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (Hard Disk Drive) ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีโซลิดสเตตไดรฟ์ (Solid State Drive) และการเก็บข้อมูลในคลาวด์ ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในเทคโนโลยีดาวรุ่ง ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือเซมิคอนดักเตอร์ถูกผันไปยังประเทศข้างเคียง น่าเสียดายที่จวบจนปัจจุบันเรายังไม่เห็นตัวเลขเม็ดเงินลงทุนที่ชัดเจนจาก Microsoft แตกต่างจากแผนการลงทุนของในประเทศอื่นๆ แถบเอเชียที่ไมโครซอฟต์ประกาศตัวเลขชัดเจน เช่น แผนการลงทุนในอินโดนีเซีย มูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในประเทศมาเลเซีย มูลค่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำไปสู่คำถามว่า เพราะเหตุใด Microsoft จึงไม่ประกาศตัวเลขของประเทศไทย สำนักข่าว THE STANDARD WEALTH สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญสองท่านที่เสนอ 2 ความไม่พร้อมของประเทศไทย ประกอบด้วยความไม่พร้อมด้านแรกคือนโยบาย ความไม่พร้อมด้านที่สองคือแรงงาน ส่วนในบทความนี้ ผมขอเสนอความไม่พร้อมด้านที่สาม คือการผลิตไฟฟ้าของไทยที่อาจยังไม่ ‘เขียว’ พอจะดึงดูดยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟต์ เมื่อเหล่ายักษ์ใหญ่ต้องการใช้พลังงาน ‘เขียว’ […]
วิกฤติโลกรวนสร้างความเสี่ยงต่อภาคธุรกิจอย่างไร?
เนื่องจากภาคธุรกิจคือตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ และขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจเองก็กำลังเผชิญความเสี่ยงมหาศาลจากความแปรปรวนของสภาพอากาศเช่นนี้ เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาคธุรกิจคือกุญแจสำคัญที่จะพาไปสู่ทางออกวิกฤตโลกรวน หากว่าภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำได้
วิกฤติโลกรวนเกิดจากอะไร? วิทยาศาสตร์ว่าด้วยภาวะโลกร้อน
ไม่ว่าจะเผชิญกับอากาศร้อนดังนรก หรือโดนถล่มโดยฝนห่าใหญ่ จนถึงปัจจุบันนี้ยังมีคนเชื่ออยู่ว่า “โลกรวน” หรือ Climate Change ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากมนุษย์ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ แม้วิทยาศาตร์จะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้มานานนับทศวรรษก็ตาม ฝนถล่มฟ้าเมื่อหลายวันที่ผ่านมาคงจะทำให้ชีวิตหลายคนลำบากไม่น้อย ถึงแม้ในอีกมุมนึงฝนห่าใหญ่จะมาคลายความร้อนที่ต่อเนื่องเนิ่นนานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมไปได้บ้าง อากาศที่ร้อนขึ้นอย่างผิดสังเกตกลายเป็นกระแสเสียงบ่นระงมว่า ‘ร้อนกว่าสมัยเด็กๆ’ ความรู้สึกของเราสอดคล้องกับสถิติที่ Copernicus Climate Change Service เปิดเผยว่าอุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกในเดือนเมษาที่ผ่านมาร้อนขึ้นราว 1.61 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร้อนทะลุปรอทเมื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ 99 คนจาก 100 คน เห็นต้องตรงกันว่าแนวโน้มอุณภูมิบนพื้นผิวโลกเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมามีสาเหตุสำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยแก๊สเรือนกระจกอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ การรับมือ ‘สภาวะโลกร้อน’ เป็นประเด็นที่ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวางบนเวทีโลกมายาวนานกว่าสามทศวรรษโดยมีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการคืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ซึ่งช่วงแรกเริ่มประสบอุปสรรคและคำถามนานัปการ แต่เมื่อภาวะโลกรวนเริ่มเผยตัวรุนแรงยิ่งขึ้น นานาประเทศจึงเริ่มตระหนักว่าภาวะโลกร้อนคือ ‘ของจริง’ ไม่ใช่แค่คำทำนายหายนะในนวนิยายวิทยาศาสตร์ ความพยายามรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังจึงเริ่มต้นอีกครั้งโดยมีหมุดหมายสำคัญคือข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมาซึ่งมุ่งมั่นจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากชวนผู้อ่านไปคลายข้อสงสัยว่าด้วยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของภาวะโลกร้อน รวมถึงข้อพิสูจน์ว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ต้นธารของวิทยาศาสตร์โลกร้อน แม้หลายคนจะมองว่าศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ทราบไหมครับว่าครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศจะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ต้องสืบย้อนไปถึงปี 1896 […]
‘สมาร์ทกริด’ เทคโนโลยีจำเป็น ก่อนเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน
ระบบสายส่งไฟฟ้า (electrical grid) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ระบบกริด เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการขององค์การรัฐวิสาหกิจของไทย และไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก แต่ระบบสายส่งไฟฟ้ามีความสำคัญต่อระบบไฟฟ้าไทย เพราะช่วยให้เราทุกคนมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง ในยุควิกฤติโลกรวนที่นานาประเทศทั่วโลกต่างต้องลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ระบบสายส่งไฟฟ้านับว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานอันดับแรกๆ ที่ต้องเร่งพัฒนา เพราะถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สาเหตุก็เนื่องจากรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เดิมทีระบบสายส่งไฟฟ้าสร้างมาเพื่อส่งพลังงานไฟฟ้าแรงสูงจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งไปยังครัวเรือนต่างๆ แต่พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา จะคล้ายกับโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่กระจายตัวอยู่หลากหลายแหล่ง ยังไม่นับลักษณะการผลิตไฟฟ้าของพลังงานหมุนเวียนที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากคาดการณ์ไม่ดี จัดการไม่ได้ ระบบไฟฟ้าทั้งหมดก็อาจระส่ำระสาย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพิ่มเป้าหมายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าจาก 20 เปอร์เซ็นต์เป็น 37 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2580 โดยมีพลังงานแสงอาทิตย์เป็นตัวชูโรงโดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ของกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยล่าสุดรัฐบาลเตรียมประกาศแผนพลังงานชาติพร้อมกับระบุว่า พร้อมเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบให้ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ความฝันดังกล่าวคงยากจะเป็นความจริง หากรัฐบาลไม่ทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนา ‘สมาร์ทกริด’ ให้สามารถรองรับรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้าด้วยสมาร์ทกริด สมาร์ทกริดไม่มีนิยามตายตัวที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institute of Standards and […]
กลไกค่าไฟที่ทำให้คนไทยกลายเป็น ‘นักแบก’
Photo credit: สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) หน้าร้อนแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงเริ่มหลอนกับใบเรียกเก็บค่าไฟฟ้าที่กำลังจะมาถึง เพราะย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ผมและผู้อ่านหลายคนคงเจอกับปัญหา ‘ค่าไฟทะลุเพดาน’ กับตาตัวเอง โดยมีสาเหตุสำคัญเกิดจากสององค์ประกอบหลักคืออากาศที่ร้อนจัดและค่าไฟผันแปรที่พุ่งกระฉูด นับตั้งแต่วันนั้น ประเด็นเรื่องค่าไฟก็เป็นปัญหาที่ค้างคาใจผมอยู่ตลอดเวลา จนมาวันนี้จึงพอจะสรุปได้ว่าปัญหาทั้งหมดทั้งมวลอาจอยู่ที่ ‘กลไกราคา’ ปัจจุบัน ที่ส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดมายังผู้บริโภคโดยตรง (Cost Pass-Through) ซึ่งสามารถตีความว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยทั้งระบบนั้นไม่มีความเสี่ยงและไม่มีทางขาดทุน เพราะไม่ว่าต้นทุนในการผลิตหรือราคาเชื้อเพลิงปรับสูงขึ้นเพียงใด ต้นทุนทุกบาททุกสตางค์ก็จะส่งผ่านมายังคนไทยทุกคนแบบหารเฉลี่ย คงไม่ผิดนักหากจะยกย่องคนไทยว่าเป็น ‘นักแบก’ และต้องก้มหน้าก้มตาแบกต่อไปตราบใดที่กลไกราคากำหนดค่าไฟฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิม ในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาไปสำรวจโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายไฟฟ้าของไทย รวมถึงแนวทางในการเพิ่มการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าที่น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ โครงสร้างพลังงานไทย เมื่อพูดเรื่องระบบไฟฟ้า หนึ่งในชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือ กฟผ. องค์กรรัฐวิสาหกิจที่ก่อตั้งโดยมีบทบาทหลักเพื่อ ‘ผลิตไฟฟ้า’ อย่างไรก็ตาม บทบาทของ กฟผ.เปลี่ยนแปลงไปหลังจากไทยปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าสู่ระบบที่มีผู้รับซื้อไฟฟ้าเพียงรายเดียว (Enhanced Single Buyer) ผมขอชวนผู้อ่านมาลองทายกันเล่นๆ ว่า ล่าสุด กฟผ.มีกำลังการผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนทั้งสิ้นกี่เปอร์เซ็นต์ของระบบไฟฟ้าไทย 90%? – ตัวเลขนี้สูงเกินไปมากเลยครับ 75%? – ก็ยังสูงเกินไปอยู่ดี 50%? – ครึ่งๆ แบบนี้ก็ยังไม่ถูกครับ […]
สื่อ
CFNT Webinar Series – Time to Act: Looming Climate Impacts on Thailand’s Financial Sector
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) ได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “Time to Act: Looming Climate Impacts on Thailand’s Financial Sector.” ภายในงานได้มีการพูดคุยถึงวิกฤติโลกร้อนว่าส่งผลกระทบต่อภาคการเงินของประเทศไทยอย่างไร เรามีวิธีการประเมินความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอย่างไรบ้าง และหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินจะมีบทบาทในจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างไร วิทยากรเรียนเชิญในครั้งนี้คือ ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดร.กรรณิการ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม โดยเฉพาะนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการพัฒนาสีเขียว
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand – CFNT) เป็นศูนย์วิจัยและองค์กรเครือข่าย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2567 เรามุ่งเน้นการส่งเสริมแนวปฏิบัติทางการเงินที่ยั่งยืนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส วัตถุประสงค์สูงสุดของเราคือการเพิ่มการตอบสนองของภาคการเงินไทยต่อความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ และร่วมมือกับพันธมิตรในการกำหนดภูมิทัศน์ทางการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนระดับโลก เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และครอบคลุม
ความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจและหุ้นไทยจากวิกฤติโลกร้อน
‘รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์’ หัวหน้าทีมวิจัยจากเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand) พูดคุยในหัวข้อ “ความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจและหุ้นไทยจากวิกฤติโลกร้อน คลื่นการเปลี่ยนผ่านกำลังก่อตัว แล้วไทยอยู่ตรงไหนกัน?” กับคุณโสภณ ศุภมั่งมี บรรณาธิการ aomMoney ครอบคลุมประเด็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ และการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ
กระบวนการต่อรอง รุก รับ ปรับตัว ของชุมชนกับกลไกคาร์บอนเครดิต
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ ร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “กระบวนการต่อรอง รุก รับ ปรับตัว ของชุมชนกับกลไกคาร์บอนเครดิต” นำเสนอโดย สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) คุณสฤณีได้พูดคุยแลกเปลี่ยน ถึงหลักการ ประโยชน์และความท้าทายของคาร์บอนเครดิตป่าไม้ ร่วมถึงบทบาทสำคัญของชุมชนผู้ดูแลผืนป่าที่จะป้องกันไม่ให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตป่าไม้กลายเป็นเครื่องมือการฟอกเขียว