
หากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกยังไม่พอที่จะทำให้ใครตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้ลองพิจารณาข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นวิตกจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO)
ในรายงาน State of the Global Climate 2024 องค์การ WMO ระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา “มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีของโลกสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิใกล้พื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 1.55 ± 0.13 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 1850-1900” หรือแปลว่าปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปีนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติของ WMO
ในรายงานฉบับดังกล่าว ยังได้มีการตอกย้ำถึง “ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสภาพอากาศสุดขั้ว และผลกระทบระยะยาวจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงเป็นประวัติการณ์และระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น”
ประเทศไทยในภาวะโลกรวน
ประเทศไทยคือตัวอย่างหนึ่งของความจำเป็นเร่งด่วนนี้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดอันดับที่ 30 ตามรายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน Germanwatch
ขณะที่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ประเมินภายใต้สมมติฐานที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสว่า ความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยอาจสูงถึงเกือบ 1 ล้านล้านบาท/ ปี หรือราว 6.6% ของ GDP โดยภาคเกษตรกรรมของไทยจะได้รับความเสียหายสูงถึง 17.5–83.8 พันล้านบาท/ ปี หากคิดสะสมตั้งแต่ปี 2021-2045
ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่ในการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อตอบสนองต่อพันธสัญญาที่ให้ไว้กับนานาชาติ โดยในปี 2024 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประเมินว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ภายในปี 2030 ต้องการเงินลงทุน 5 ล้านล้านบาท และถ้าเป้าหมายในการลดคือ 40% จำเป็นต้องใช้ถึง 7 ล้านล้านบาท
ทำไมเราต้องติดตามกระแสเงินทุนที่ใช้รับมือภาวะโลกรวน
ข้อเสียเปรียบที่สำคัญของไทยคือ ขาดทั้งความกระตือรือร้นและแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับทั้ง mitigation (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) และ adaptation (การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกรวน) ที่สำคัญอีกประการคือ ไทยไม่เคยมีภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระแสเงินทุนด้านภูมิอากาศที่ไหลเวียนอยู่ในประเทศ
ดังนั้น เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) ซึ่งก่อตั้งในปี 2024 เพื่อผลักดันให้เกิดการเงินด้านภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในไทย จึงได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลสาธารณะเพื่อสร้าง “Climate Finance Tracker” (ต่อไปเรียกว่า “Tracker”) สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับรายงาน Global Landscape of Climate Finance ขององค์กร Climate Policy Initiative (CPI) ในสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นการวิจัยและนโยบายด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
โดย CFNT ได้มุ่งเก็บข้อมูลในด้านที่สำคัญ 2 ด้าน
- Climate Mitigation – การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การลงทุนในโซลาร์เซลล์
- Climate Adaptation – การเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เช่น ระบบเตือนภัยพิบัติ
ที่มาของแหล่งเงินทุนที่พวกเราศึกษามาจากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานรัฐ ธนาคารพัฒนาระหว่างประเทศ กองทุนด้านภูมิอากาศระดับชาติ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนสถาบันการเงินของรัฐ โดยมาในรูปแบบ อาทิ ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (ODA) เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (concessional loans) เงินสนับสนุนแบบให้เปล่า (grants) หรือโครงการลงทุนภาครัฐ
ส่วนแหล่งเงินทุนจากภาคเอกชน อาทิ สถาบันการเงินพาณิชย์ บริษัทเอกชน นักลงทุนเพื่อสังคม (รวมถึงองค์กรการกุศล) ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ผ่านเครื่องมือ เช่น green bonds, green loans และ blended finance
ทีมนักวิจัยของ CFNT ยึดแนวทางเดียวกันกับที่ CPI ใช้เก็บข้อมูล โดยเน้นเฉพาะการลงทุนโดยตรงที่สอดคล้องกับเป้าหมาย climate mitigation และ adaptation ภายในประเทศ และตัดรายการเงินทุนที่ไม่ถือเป็นการลงทุนที่มีเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศออกจากการคำนวณทั้งหมด โดยการลงทุนที่ไม่รวมในฐานข้อมูล ได้แก่
- ตลาดรอง
- การรีไฟแนนซ์
- การโอนกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์เดิม
- เงินอุดหนุนจากภาครัฐที่เน้นการชดเชยต้นทุนตั้งต้น เช่น การสนับสนุนการวิจัย
เช่นเดียวกับ CPI เราไม่รวมโครงการที่เรียกว่า “Carbon Lock-in” หรือโครงการที่ผูกพันอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานฟอสซิล เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะเห็นได้ชัดว่ามีทางเลือกอื่นที่มุ่งสู่การลดก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ความท้าทายต่อการเงินเพื่อการปรับตัว
การติดตามการลงทุนในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศถือเป็นเรื่องยากและซับซ้อนกว่าการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะแต่ละกิจกรรมหรือนโยบายมีความสัมพันธ์กับบริบท พื้นที่ อีกทั้งยังวัดผลกระทบได้ยากกว่าการลดก๊าซเรือนกระจก
อย่างไรก็ดี CFNT พยายามรับมือความท้าทายนี้ด้วยการใช้ Tailwind Taxonomy ซึ่งเป็นโมเดลสาธารณะจากกองทุน Tailwind Futures เพื่อวิเคราะห์โครงการปรับตัว โดยเลือกเฉพาะโครงการที่แก้ปัญหาความเปราะบางเฉพาะด้านสภาพภูมิอากาศ และพยายามใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการประเมินผลลัพธ์
ข้อค้นพบจากการทำวิจัย
จากการรวบรวมข้อมูลกว่า 2,800 โครงการ ตั้งแต่ปี 2018 – พฤษภาคม 2025 เราพบว่า มีการลงทุนในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 1.7 ล้านล้านบาท โดยมีข้อค้นพบที่น่าสนใจ ดังนี้
- 82% ของเงินทุนมาจากบริษัทเอกชน ธนาคารพาณิชย์ และรัฐวิสาหกิจ
- 64% ของการลงทุนทั้งหมดอยู่ในภาคพลังงานและการขนส่ง
- กิจกรรมยอดนิยม ได้แก่ โซลาร์บนหลังคา (17%) รถยนต์ไฟฟ้า (10%) และระบบขนส่งสาธารณะไฟฟ้า (8%)
ในด้านการปรับตัวรับมือกับภาวะโลกรวน พวกเรารวบรวมข้อมูลจาก 670 โครงการ ตั้งแต่ปี 2020–2024 และพบว่า ประเทศไทยใช้เงินราว 148 พันล้านบาทในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน โดย 95% มาจากรัฐบาลกลาง และ 1.8% มาจากกองทุนพหุภาคี โดยโครงการส่วนใหญ่เน้นการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เมืองที่ปรับตัวได้ และเกษตรกรรมยั่งยืน
“ผู้ที่สนใจสามารถดู Tracker ของเรา พร้อมรายละเอียดวิธีการวิจัยและดาวน์โหลดสไลด์สรุปผลสำคัญได้ที่ www.climatefinancethai.com/tracker”
การทำให้ Tracker เปิดเผยต่อสาธารณะและอัปเดตทุกปีมีเป้าหมายเพื่อช่วยผู้กำหนดนโยบายมองเห็นถึงช่องว่างที่ขาดหายไปในด้านเงินทุน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำไปสู่บทสนทนาในเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืน และสุดท้ายนำไปสู่การจัดสรรเงินทุนและทรัพยากรแก่ภาคส่วนที่จำเป็นที่สุด อ่อนไหวที่สุด และผู้คนที่เปราะบางที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ