
“ความหวังแสนเปราะบางในการรับมือภาวะโลกรวนกำลังถูกท้าทาย”
ณ หมู่บ้านเงียบสงบใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา แผงโซลาร์ตั้งอยู่ในป่ารกชัฏ คอนกรีตหนาถูกปูไว้บนพื้น ขณะที่สัญญาอนุมัติการซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐที่ถูกอนุมัติยังวางเรียงไว้ในโต๊ะ ฟาร์มโซลาร์เซลล์เหลือเพียงความฝันที่ห่างไกล เพราะเสียงปืนนัดแรกดังขึ้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา
ประโยคพรรณาข้างต้นเป็นเพียงภาพสมมติ แต่สะท้อนความจริงที่เร่งด่วนเช่นกัน เพราะอนาคตการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนของไทยแสนเปราะบางต่อความขัดแย้งและไม่มั่นคงทางการเมือง
แม้ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยจะก้าวหน้าไม่น้อยในเรื่องดังกล่าว ทั้งพันธบัตรสีเขียว เป้าหมายพลังงานสะอาด และคำมั่นต่อเวทีโลก แต่ทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนภาพตรงกันคือ ‘สันติภาพ’
เพราะสงครามไม่เพียงคร่าชีวิต แต่ยังกลืนงบประมาณรัฐ ดึงนักลงทุนให้ถอยห่าง และตัดประเทศออกจากเวทีการทูต พูดอีกอย่างคือ มันทำให้เป้าหมายในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศถูกลดทอนความสำคัญเป็นลำดับท้าย
เมื่อความตึงเครียดบริเวณชายแดนเพิ่มขึ้น คำถามสำคัญที่ประเทศไทยต้องถามตัวเองคือ พร้อมหรือยังที่จะปกป้องทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ—ความมั่นคง
อะไรคือการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน ? และมันสำคัญอย่างไรต่อประเทศไทย ?
“คำมั่นสัญญามูลค่าพันล้านที่ผูกติดอยู่กับสันติภาพ”
การเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance) หมายถึง กระแสเงินทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วยให้ประเทศต่างๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสำหรับประเทศไทย มันคือเส้นเลือดใหญ่ที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
ตั้งแต่ปี 2020 ไทยได้รับเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ทั้งจากกองทุน Green Climate Fund (GCF) ธนาคารเพื่อการพัฒนาแบบพหุภาคี เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank หรือ ADB) และโครงการของความริเริ่มทางการเงินเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ ภายใต้โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP BIOFIN)
ขณะที่ภายในประเทศ ระหว่างปี 2018 – เดือน พ.ค. 2025 รัฐบาลไทยจัดสรรงบประมาณกว่า 2.5 แสนล้านบาท สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจก หรือคิดเป็นเงินราว 33,600 ล้านบาท/ ปี ในด้านการรุกรับและปรับตัวต่อสภาวะโลกรวน มีการลงทุนจากหน่วยงานสาธารณะกว่า 1.43 แสนล้านบาท โดยกว่า 90% มาจากภาครัฐ หรือคิดเป็นการลงทุนราว 28,600 ล้านบาท/ ปี ขณะเดียวกัน พันธบัตรสีเขียวและการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนจากภาคเอกชนก็กำลังเพิ่มขึ้นและสร้างผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้ ดำเนินไปเพื่อให้สอดรับกับแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (NDCs) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (LT-LEDS) ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2065
ทั้งนี้ทั้งนั้น เงินทุนทุกบาทหรือแรงสนับสนุนทุกดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับสันติภาพและเสถียรภาพของประเทศ

ราคาของความไม่มั่นคง: ผลกระทบของสงครามต่อการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
“เมื่อความตึงเครียดเพิ่มขึ้น เงินทุนจึงล่าถอย”
การเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนต้องการเสถียรภาพ มันเรียกร้องหาความมั่นคง ความเชื่อมั่น และการวางแผนระยะยาว ดังนั้น เมื่อเกิดความไม่แน่นอน ไม่ว่าจากจากการเมืองหรือเศรษฐกิจ จากชายแดนห่างไกลหรือในประเทศ ทุกความรุนแรงจะบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน และหยุดการไหลเวียนของเงินทุนในทันที
ในประเทศเยเมน สงครามกลางเมืองที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี ได้ทำลายแผนขยายโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ การลงทุนในโครงสร้างด้านการจัดการน้ำ และการปฏิรูปการเกษตรให้รับมือสภาวะโลกรวน เพราะสิ่งที่ต้องทำลำดับแรกคือการจัดสรรเงินทุนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ในอัฟกานิสถาน หลังการยึดอำนาจของกลุ่มตาลีบันปี 2021 เงินทุนด้านสิ่งแวดล้อมมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ถูกเพิกถอนจากประเทศในทันที
เพราะเงินทุนเป็นสสารที่เคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลา และกองทุนพหุภาคีด้านสภาพภูมิกาศต่างถูกผูกมัดด้วยกฎระเบียบที่ทำให้ “ความไม่มั่นคงทางการเมือง” เป็นสัญญาณอันตราย ดังนั้น เมื่อมีสัญญาณของความไม่มั่นคง การเบิกจ่ายจะถูกเลื่อนหรือถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง
ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2021 โครงการเงินทุนเพื่อรับมือสภาวะโลกรวนจำนวน 85 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Green Climate Fund และ Global Environment Facility ถูกระงับในทันที เหล่าผู้บริจาคถอนตัวและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศหยุดทำงานร่วมกับรัฐบาลทหาร ส่งผลให้ทุกองคาพยพในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศแทบหยุดชะงัก
ดังนั้น ถ้าไทยก้าวเข้าสู่ความขัดแย้ง—แม้เพียงระยะสั้น—เราก็อาจเผชิญชะตาเดียวกัน เพราะสำหรับการเงินเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศที่ถูกออกแบบให้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงทุกรูปแบบ ความน่าเชื่อถือคือสกุลเงิน และสิ่งที่สร้างนานร่วมทศวรรษ อาจสูญหายได้ภายในไม่กี่สัปดาห์จากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
จากเขียวโลกสู่เขียวกองทัพ: เมื่อเงินทุนถูกกลืนในความขัดแย้ง
“เมื่อเงินทุนสีเขียวไหลสู่กองทัพ”
สงครามไม่ได้แค่คร่าชีวิต แต่มันกัดกินงบประมาณชาติด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยที่ความขัดแย้งเพียงชั่วสั้นๆ อาจทำให้เงินทุนด้านภูมิอากาศอันน้อยนิดหายไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับประเทศไทย งบประมาณที่ภาครัฐใช้ในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศถือว่าไม่สูงมากนัก โดยเงินทุนที่ถูกใช้ในการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวนระหว่างปี 2018 – 2024 อยู่ที่ราว 14,000 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่เงินทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างปี 2018 – 2025 อยู่ที่ราว 14,500 ล้านบาทเท่านั้น (จากเงินทุนทั้งหมด 1.7 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นไปได้ว่าตัวเลขเหล่านี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อความขัดแย้งทางการทหารบานปลาย
เช่นเดียวกับภาคเอกชน ที่เป็นไปได้สูงมากว่าความไม่มั่นคงจะส่งผลให้แผนในการลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศถูกชะลอ ปรับเปลี่ยนเสียใหม่ หรือยกเลิกไปเลย
สงครามระหว่างชาติชนะปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศเสมอ แม้ว่าชัยชนะนั้นอาจนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพึ่งพิงถ่านหิน การสูญเสียความเชื่อมั่นในเวทีระหว่างประเทศ หรือการพ่ายแพ้ระยะยาวก็ตาม

สินทรัพย์ที่ติดค้างและอนาคตที่ติดขัด
“ไทยในหล่มพลังงานฟอสซิล”
หากเกิดความขัดแย้งทางทหาร การเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยอาจไม่เพียงแค่ชะลอตัว แต่อาจถึงขั้นย้อนศรกลับทางเดิม
ปัจจุบัน ระบบพลังงานของประเทศกำลังมุ่งสู่สภาวะ “ติดหล่ม” ที่น่ากังวล โดยร่างแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ หรือ PDP2024 ระบุว่า ในปี 2037 ประเทศไทยจะยังคงผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติกว่า 41% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งเป็นไปได้ว่าหากมีความขัดแย้งทางการทหาร ผู้กำหนดนโยบายอาจหันกลับไปพึ่งพาก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าพลังงานไฟฟ้าจะไม่สะดุด
เพราะในยามวิกฤต ‘ความมั่นคงด้านพลังงาน’ มักถูกให้ความสำคัญเหนือ ‘เหตุผลด้านภูมิอากาศ’
ทั้งที่ปัจจุบัน ไทยมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (LCOE) ต่ำเป็นอันดับสองในอาเซียน และคาดว่าจะถูกที่สุดภายในปี 2040 ที่ราว 0.074 ดอลลาร์/ กิโลวัตต์/ ชั่วโมง แต่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่วางแผนไว้กลับมีเพียง 17% ของพลังงานทั้งหมดในปี 2037 นอกจากนี้ การปฏิรูประบบโครงข่ายไฟฟ้าและการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ก็ยังได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ อีกทั้ง ในโมงยามของสงคราม โครงการเหล่านี้อาจถูกพับเก็บไปทั้งหมด
หากประเทศไทยยังติดหล่มพลังงานฟอสซิลโดยอ้างนามของ “ความมั่นคง” ไทยจะถูกกักขังอยู่ในโลกที่ล้าหลัง และได้แต่นั่งดูคู่แข่งก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังงานหมุนเวียน
ไทยควรทำอย่างไร: สันติภาพ การทูต และความโปร่งใสทางการคลัง
“ราคาของความขัดแย้งที่จ่ายด้วยสภาพภูมิอากาศ”
สงครามไม่เพียงทำให้เงินทุนที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหายไป แต่มันยังทำให้อนาคตขององค์กรและสถาบันที่ทำงานด้านนี้อ่อนแอและเปราะบาง
สถานะของประเทศไทยในเวทีโลก ที่ทำให้ประเทศเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น เงินกู้แบบผ่อนปรน หรือการขยายตลาดตราสารหนี้สีเขียว ทั้งหมดล้วนผูกพันธ์อยู่กับความมั่นคงในระยะยาว และสันติภาพคือหลักการข้อแรกที่เวทีระหว่างประเทศเรียกร้อง ดังนั้น การทูตและหลักสันติวิธีจึงไม่ใช่แค่ทางเลือกเพื่อมนุษยธรรม แต่คือการตัดสินใจด้านการเงินด้วยเช่นกัน
ปราศจากสันติภาพแล้ว เงินทุนเหล่านั้นย่อมหายไป เช่นเดียวกับหนทางที่ไทยจะรับมือสภาวะโลกรวน
บทส่งท้าย
“ความขัดแย้งทางการทหารไม่ได้พรากแค่ชีวิต แต่ยังรวมถึงอนาคต”
อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร .. ประเทศที่ใช้แสงอาทิตย์ขับเคลื่อนพลังงานของชาติ ประเทศที่ได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ และได้รับความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานในภูมิภาคอาเซียน
อนาคตที่เจิดจ้าเหล่านั้น ไม่ได้กำหนดจากนโยบายที่ดีเท่านั้น แต่รวมถึงสันติภาพ.. ที่อยู่ตรงข้ามกับสงคราม
เพราะสงครามไม่เพียงทำลายโครงสร้างพื้นฐาน แต่มันยังทำลายความศรัทธา ความเชื่อมั่น และที่สำคัญที่สุด ‘เวลา’ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรับมือกับสภาวะโลกรวน