ขับเคลื่อนภาคการเงินและการลงทุน
เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน และ สร้างอนาคตที่ยั่งยืน
Climate Finance Network Thailand (CFNT) หรือ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2567 เราเป็นองค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งมั่นสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
การเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย
CFNT ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของภาคการเงินในการรับมือกับภาวะโลกรวน วัตถุประสงค์หลักของ CFNT คือการจุดประกายความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และขยายผลลัพธ์เชิงนโยบายด้านการเงินเพื่อภาวะโลกรวน ผ่านงานวิจัยที่เน้นเสนอทางออกและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับขยายเครือข่ายคนที่สนใจในประเด็นเดียวกัน เป้าหมายสูงสุดของเราคือการช่วยให้ภาคการเงินการลงทุนในประเทศไทยรับมือความท้าทายด้านภาวะโลกรวนได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการผนึกกำลังกับองค์กรพันธมิตรที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน CFNT มุ่งมั่นที่จะช่วยสร้างภูมิทัศน์ทางการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของโลก และส่งเสริมเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพร้อมรับมือวิกฤตโลกรวน

กิจกรรม
เชิญร่วมงาน ‘พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ในกิจกรรม BKK CAW
30 กันยายน พ.ศ. 2568 l เวลา 09:00 – 13:00 น.
The Society ชั้น 22 อาคารเกษร ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
เพื่อรับมือกับความท้าทายจากภาวะโลกรวน CFNT ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน Bangkok Climate Action Week เพื่อร่วมหาคำตอบว่า ภาคการเงินจะร่วมมีส่วนในการรับมือภาวะโลกรวนได้อย่างไร ข้อมูลการไหลเวียนของเงินทุนที่ครบถ้วนและโปร่งใสสำคัญอย่างไร เพื่อให้พวกเราทุกคนและกรุงเทพฯ ก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
งานวิจัย แนะนำ
Can Chinese EV Investment Contribute to Thailand’s Green Transformation?
รายงานฉบับนี้วิเคราะห์โครงสร้างการกำกับดูแลและผลกระทบในระดับท้องถิ่นจากการลงทุนของจีนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของไทย โดยมุ่งนำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในไทยและจีนใช้ประกอบการตัดสินใจ การศึกษาวิจัย การวิเคราะห์ และการดำเนินงานในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในรูปแบบที่เปิดกว้าง โปร่งใส และเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น
ใช้พลังมวลชน: เพิ่มการเข้าถึงเงินทุนเพื่อติดตั้งโซลาร์ครัวเรือนด้วยโมเดลคราวด์ฟันดิงในไทย
ประเทศไทยมีศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์อย่างล้นเหลือแต่ความก้าวหน้าในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์นั้นกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้าโดยไม่อาจเติมเต็มศักยภาพที่มี รายงานฉบับนี้สำรวจความเป็นไปได้ในการใช้การระดมทุนจากมวลชนหรือคราวด์ฟันดิงในฐานะแหล่งเงินทุนทางเลือกเพื่อปิดช่องว่างในการหาเงินทุนสำหรับการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาในภาคครัวเรือน เราเสนอโมเดลระดมทุนจากมวลชนที่สอดคล้องกับบริบทไทย 6 รูปแบบประกอบด้วย ผ่อนจ่ายตามเงินที่ประหยัดได้ (Pay-As-You-Save) ที่ช่วยให้ครัวเรือนติดตั้งแผงโซลาร์โดยไม่ต้องจ่ายเงินลงทุนตั้งต้น และผ่อนชำระค่าแผงโซลาร์ตามค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ในแต่ละเดือน พอร์ตฟอร์ลิโอแผงโซลาร์บนหลังคา คือการรวบรวมแผงโซลาร์ที่ติดตั้งอยู่บนหลายหลังคาเรือนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ร่วมมือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คือการนำเงินไปลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์ในโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่ ผ่อนชำระผ่านใบเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภค (On-bill financing) คือการผ่อนชำระค่าแผงโซลาร์ผ่านใบเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภค ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าโดยจ่ายชำระเท่าที่ใช้งาน (Off-grid Pay-As-You-Go) นำเสนอทางเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับชุมชนที่อยู่นอกกโครงข่ายไฟฟ้าให้สามารถเข้าถึงไฟฟ้า แผงโซลาร์บนหลังคาอาคารหน่วยงานภาครัฐ คือการติดตั้งแผงโซลาร์บนอาคารภาครัฐโดยไม่แสวงหากำไรโดยแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้กลับคืนให้หน่วยงาน โมเดลเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคเรื่องเงินลงทุนตั้งต้นในการติดตั้งแผงโซลาร์และดึงดูดนักลงทุนเน้นผลลัพธ์ แต่โมเดลเหล่านี้จะสำเร็จได้ก็จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนที่แข็งแกร่ง คณะวิจัยเสนอว่าภาครัฐควรเสริมสร้างแรงจูงใจทางการเงิน ดำเนินนโยบายหักกลบลบหน่วยไฟฟ้า เพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการอนุมัติ และเปิดให้มีการแข่งขันในตลาดการผลิตไฟฟ้า การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะช่วยให้ประเทศไทยปลดศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ บรรลุเป้าหมายพลังงานหมุนเวียน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม บทสรุปผู้บริหาร (ภาษาไทย) รายงานการวิจัยภาษาไทยฉบับสมบูรณ์ Full Paper in English
A Better Path is Possible Critique and Suggestions to Draft PDP2024
รายงานฉบับนี้ฉายภาพการวิเคราะห์ร่างแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า พ.ศ. 2567 หรือร่างแผน PDP2024 ซึ่งยังคงพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2580 ทั้งที่ประเทศตั้งเป้าว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ร่างแผน PDP2024 ยังเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่อีก 6,300 เมกะวัตต์ รวมถึงใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา เช่น การผสมไฮโดรเจนกับก๊าซเพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors: SMRs) แทนที่จะเร่งพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนกว่าอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ รายงานฉบับนี้ฉายให้เห็นต้นทุนแฝงที่มาพร้อมกับการปล่อยคาร์บอน ความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติเหลว และค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อพัฒนาระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน เรามองว่าทางเลือกที่เหมาะสมกว่าคือการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเร่งด่วนซึ่งจะช่วยลดต้นทุนพลังงาน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไทยกำหนดไว้ในเวทีโลก หากไทยต้องการคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องปรับวิธีคิดในการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าโดยมองไปข้างหน้า มากกว่าพยายามต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีในปัจจุบันซึ่งกำลังจะล้าสมัยในอนาคตอันใกล้
Thailand’s Fossil Lock-In:Stranded Risk of Midstream Oil & Gas Infrastructure
รายงานฉบับนี้วิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินจากการลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซขั้นกลางน้ำในประเทศไทยที่รวมถึงธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ อาทิ โรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่มูลค่าเงินลงทุน 1.89 แสนล้านบาท และโครงการท่าเรือเพื่อนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี 6.6 หมื่นล้านบาทอาจเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ เนื่องจากต้องเผชิญผลกระทบจากนโยบายพลังงานระดับโลกและการใช้เทคโนโลยีพลังงานทดแทน รวมถึงความต้องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่จะแตะระดับสูงสุดในปี 2030 หากต้องการบรรเทาความเสี่ยงจากสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต ประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านพลังงานโดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสะอาดมากยิ่งขึ้น และปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับคำมั่นด้านภูมิอากาศที่ให้ไว้กับนานาประเทศ การเปลี่ยนนโยบายจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในห้วงยามของการเปลี่ยนผ่าน โดยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนที่สูญค่าและสร้างความยั่งยืนในอนาคต
การชำระบัญชีฟอสซิล: การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย
งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบทางการเงินจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย ผ่านการคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (stranded assets) ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คณะวิจัยใช้แบบจำลองการคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow model หรือ DCF model) ของโรงไฟฟ้าลักษณะนี้รายโรง ในการวิเคราะห์ทั้งสิ้น 3 ฉากทัศน์ ประกอบด้วย (1) กรณีฐาน (base case) ใช้แผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561 ถึง 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (2) กรณีการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็ว และ (3) กรณีพลังงานหมุนเวียน 100% ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญจากสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 3.6 แสนล้านบาทสำหรับฉากทัศน์การเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรวดเร็ว และ 5.3 แสนล้านบาทในฉากทัศน์พลังงานหมุนเวียน 100% สะท้อนความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในไทย และตอกย้ำความสำคัญของการเร่งลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในกรอบเวลาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการรับมือภาวะโลกรวนในระดับโลก ซึ่งความชัดเจนดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
บทความ
3 ข้อเสนอถึงกองทุนภูมิอากาศเพื่อความเป็นธรรมตามระบุใน NDC 3.0
นับเป็นครั้งแรกที่แผน NDC 3.0 ของไทยพูดถึง ‘การเปลี่ยนอย่างเป็นธรรม’ แต่ในทางปฏิบัติ การดำเนินการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมและสร้างความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศยังถูกตั้งคำถาม สฤณีเสนอ 3 ข้อเสนอเพื่อทำให้กองทุน Climate Fund สอดรับกับแนวคิดข้างต้น
อาเซียนควรทำอย่างไร เพื่อก้าวข้ามเงินทุน 800 ล้านดอลลาร์ ในโครงการ Asean Power Grid
โครงการ Asean Power Grid (APG) คือ ความหวังทางด้านพลังงานของภูมิภาคอาเซียน แต่อุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่คือ เงินลงทุน 800 ล้านดอลลาร์
กรณีศึกษาปากีสถาน เมื่อสัญญาเอื้อเอกชนทำค่าไฟแพง ประชาชนจึงหันมาผลิตไฟฟ้าใช้เอง
ย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นในแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของปากีสถาน? ทำไมการเพิ่มพลังการผลิตและใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในปากีสถานถึงยิ่งถ่างความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น? และอะไรคือบทเรียนที่ประเทศไทยควรเรียนรู้จากปากีสถาน?
แถลงการณ์เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนกรณีการแอบอ้างชื่อผู้อำนวยการเครือข่ายทางอีเมล
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน หรือ Climate Finance Network Thailand (CFNT) ขอแจ้งว่า ขณะนี้ มีความพยายามส่งอีเมลโดยแอบอ้างชื่อของ คุณสฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน ทางเครือข่ายฯ ขอยืนยันว่าอีเมลดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณสฤณีและเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนแต่อย่างใด
สรุปเสวนา ‘การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย’
สรุปบทเรียนและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนระดับนานาชาติ ในเวทีเสวนา ‘การเงินเพื่อเปลี่ยนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นต่อโลกรวน – ลำดับความสำคัญและความท้าทาย’
งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย ‘ช่องว่างขนาดใหญ่’ ในภาวะโลกรวน
CFNT เปิดเผยงบประมาณที่กรุงเทพฯ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยใช้ในโครงการด้านภาวะโลกรวน ในงาน ‘พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน’
สื่อ
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนเปิดข้อมูลงบประมาณที่ท้องถิ่นไทยใช้รับมือภาวะโลกรวน ในงาน BKK Climate Action Week 2025
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนเปิดข้อมูลงบประมาณที่ท้องถิ่นไทยใช้รับมือภาวะโลกรวน ในงาน BKK Climate Action Week 2025
สัมมนาออนไลน์: Can Chinese EV Investment Contribute to Thailand’s Green Transformation?
รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนจะช่วยประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมสีเขียวได้แค่ไหน? หาคำตอบได้ในงานสัมมนาออนไลน์ “Can Chinese EV Investment Contribute to Thailand’s Green Transformation?”
CFNT เปิดตัวฐานข้อมูล Thailand Climate Finance Tracker ครั้งแรกในไทย
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) องค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ได้เปิดตัวงานวิจัยชิ้นสำคัญ ‘Thailand Climate Finance Landscape’ โดยนําเสนอข้อมูลจาก Thailand Climate Finance Tracker เครื่องมือติดตามกระแสเงินทุนที่ถูกใช้รับมือกับภาวะโลกรวน โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการพัฒนาเครื่องมือดังกล่าวขึ้นในประเทศไทย CFNT พัฒนาเครื่องมือดังกล่าวขึ้นเพื่อสะท้อนภาพของกระแสเงินทุนที่ใช้เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย โดยทีมนักวิจัยจะติดตามและปรับปรุงข้อมูลเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดย CFNT หวังว่า Thailand Climate Finance Tracker จะช่วยฉายภาพภูมิทัศน์ทางการเงินที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของประเทศที่ใช้ลดก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถในการตั้งรับปรับตัวกับภาวะโลกรวน และเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนและเสริมสร้างขีดความสามารถของโทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ “CFNT หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเครื่องมือ Climate Finance Tracker จะช่วยสะท้อนภาพกระแสเงินที่หมุนเวียนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมืออันแข็งแกร่งในการลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ” สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อํานวยการเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) กล่าว โดยนอกจากการเปิดตัว Thailand Climate Finance Tracker ภายในงานยังมีวงเสวนาซึ่งได้รับเกียรติจากผู้แทนธนาคารโลก […]
CFNT Webinar Series – Phasing out coal: Case studies from Germany
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “Phasing out coal: Case studies from Germany” งานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก คุณสุชาติ คล้ายแก้ว หัวหน้าโครงการ Innovation Regions for a Just Energy Transition (IKI JET) ประจำประเทศไทย คุณสุชาติเป็นผู้นำการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมในประเทศไทย และมีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือของโครงการ IKI JET ภายใต้ GIZ กับชุมชนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมถ่านหินในประเทศต่าง ๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มองโกเลีย ชิลี โคลอมเบีย และแอฟริกาใต้ โดยงานของเขาครอบคลุมการให้คำปรึกษาทางเทคนิค การพัฒนาเครื่องมือเชิงนโยบาย การส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการผลักดันเวทีเสวนานโยบายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ประเด็นสำคัญในงานสัมมนา ได้แก่:

