การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยตระหนักดีถึงความจำเป็นในการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกรวน ดังที่สะท้อนออกมาในแผน Nationally Determined Contribution (NDCs) ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายว่าภายใน พ.ศ. 2573 ประเทศจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิแบบไม่มีเงื่อนไข 30% และแบบมีเงื่อนไข 40% รวมถึงขยับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) จากเดิมที่ พ.ศ. 2608 มาสู่ พ.ศ. 2593
ถึงแม้ ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจไทยจะกระตือรือร้นอย่างมากที่บรรเทาผลกระทบทางด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ปลายทางยังนับว่าห่างไกลกว่าจะบรรลุเป้าหมายตาม NDCs 3.0 ที่ตั้งเอาไว้
ประเด็นนี้ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาในการเสวนา “การเงินเพื่อบรรเทาโลกรวน: ทบทวนและมองไปข้างหน้า” ที่จัดโดยเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) ในงานเปิดตัว Climate Finance Tracker 2025 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568

ยกระดับเครื่องมือการเงินและปลดล็อกแหล่งเงินทุนใหม่
เมลินดา กู้ด ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเมียนมา ธนาคารโลก กล่าวว่าประเทศไทยนับว่าก้าวหน้าอย่างมากในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยข้อมูลจาก Sustainable Banking and Finance Network (SBFN) จัดให้ประเทศไทยอยู่ในขั้น “กำลังดำเนินการ (Implementation)” ซึ่งสะท้อนความก้าวหน้าของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น เมลินดาย้ำถึง 2 เครื่องมือหลักที่จะช่วยดึงดูดเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศจากต่างประเทศเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียว
1. ยกระดับการเงินเพื่อความยั่งยืนผ่านเครื่องมือทางการเงิน ดังนี้
- Greening Finance: ยกระดับระบบการเงินให้สามารถระบุ จัดการ และเปิดเผยเม็ดเงินที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- Financing Green: เพิ่มกระแสเงินทุนที่ไหลสู่โครงการที่เกี่ยวข้องกับการรับมือภาวะโลกรวน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี โครงการ หรือการปรับตัวและสร้างความยืดหยุ่นให้กับทุกภาคส่วน
2. ปลดล็อกแหล่งการเงินเพื่อความยั่งยืนใหม่ ผ่านกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) และตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศ
เมลินดาอธิบายว่ากลไกราคาคาร์บอนจะช่วยทำให้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมถูกนับรวมอยู่ในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้เข้าสู่ภาครัฐ ขณะที่การเงินเพื่อความยั่งยืนจะมีบทบาทเสริมในการอุดช่องว่างและลดความเสี่ยงในการลงทุน ส่งผลให้การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมน่าดึงดูดมากขึ้นสำหรับภาคเอกชน ดังนั้น เมื่อผสมเครื่องมือทั้งสองเข้าด้วยกัน จะส่งผลให้ระบบการเงินเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เธอเสริมว่าในปัจจุบัน ธนาคารโลกกำลังทำงานร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่าน โครงการ Low Carbon Cities and Carbon Market Development Project ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่าง ระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคาของอาคาร, รถยนต์ไฟฟ้า, ไฟถนน หรือระบบจัดการขยะ พร้อมทั้งวางระบบสำหรับการวัด รวบรวม และสร้างมูลค่าจากคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการลงทุนเหล่านี้
เธอทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การลดช่องว่างด้านเงินทุน แต่รวมถึงการสร้างระบบและนวัตกรรมที่ดึงดูดการลงทุนให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สนับสนุนการเงินเพื่อภาคธุรกิจ
ดร. รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ถึงความสำคัญของการมีมาตรฐานกลางในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น Thailand Taxonomy ที่จะช่วยกำหนดมาตรฐานและแยกประเภทกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ออกจากกิจกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดร. รุ่งกล่าวว่าปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ถูกคาดหวังอย่างสูงให้มีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการสนับสนุนโครงการด้านความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เธอชื่นชมธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายว่าได้ตระหนักถึงความดคาดหวังดังกล่าว และพยายามบูรณาการประเด็นนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ ดั่งที่เห็นได้จากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและยกระดับขึ้นในทุกปีในการสนับสนุนการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง เพื่อผลักดัน โครงการ Financing the Transition ที่มีเป้าหมายในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งมีทรัพยากรจำกัด ในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยเธอระบุในช่วง 2 ปีข้างหน้า โครงการนี้จะมีเงินทุนราว 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

ธนาคารไทยพร้อมปรับกลยุทธ์รับมือโลกรวน
เพื่อให้สถาบันการเงินมีความพร้อมมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมาย NDC ของประเทศไทย ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารจำเป็นต้องบูรณาการกฎระเบียบด้านความยั่งยืนของประเทศเข้ากับกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศของธนาคาร โดยทางด้านธนาคารกสิกรไทยดำเนินการเรื่องนี้ผ่านกลยุทธ์ ‘3+1’ ซึ่งประกอบด้วย:
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินการของธนาคารเอง
ดร. กรินทร์ระบุว่า เมื่อ พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 5% จากปีที่แล้ว (พ.ศ. 2566) หรือคิดเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ราว 72,000 ตัน - บริหารความเสี่ยงของการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks)
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในพอร์ตสินเชื่อที่ธนาคารสนับสนุนอย่างมีกลยุทธ์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่การผลิต (Scoop 3) หรือหมายถึงการช่วยทำให้ธุรกิจจากที่เคย “สีน้ำตาลเข้ม” ค่อย ๆ กลายเป็น “สีน้ำตาลอ่อนลง” - ส่งเสริมสินเชื่อสีเขียว (Green Loans)
รวมไปถึงการนำเสนอสินเชื่อที่เหมาะสมแก่ลูกค้า เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถรักษารายได้เดิม ขณะที่เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนไปพร้อมกัน
ขณะที่กลยุทธ์ +1 หมายถึงการตอบโจทย์ความต้องการที่กว้างกว่าแค่การให้บริการทางการเงิน เช่น การสร้างชุมชนเพื่อแบ่งปันความรู้ การให้บริการด้าน Carbon Accounting Solutions และการสนับสนุนด้านการ Tokenization ของคาร์บอนเครดิต

ในขณะที่ทางด้าน ดร. ยรรยง ไทยเจริญ หัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์และความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ เน้นย้ำว่าประเทศไทยไม่สามารถดำรงอยู่ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจคาร์บอนสูงในโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเพราะจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น แม้จะมีอุปสรรคและความท้าทายอยู่ข้างหน้ามากมาย แต่ภาคเอกชนต้องมองในระยะยาวและเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจปลอดคาร์บอน (Net Zero) ให้สำเร็จ
โดย ดร. ยรรยง อธิบายว่าธนาคารไทยพาณิชย์แสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนความยั่งยืนผ่านกิจกรรมสำคัญ ได้แก่
- ธนาคารไทยแห่งแรกที่เข้าร่วม Science Based Targets Initiative (SBTi)
โดยการเข้าร่วมองค์กรด้าน Climate Action ระดับโลกนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ สำหรับ Scope 1 และ Scope 2 ให้สำเร็จภายใน พ.ศ. 2573 และ Scope 3 ภายใน พ.ศ. 2593 - เข้าร่วมเป็นสมาชิก Equator Principles
เพื่อยกระดับมาตรฐานการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ในกรณีการให้สินเชื่อแก่โครงการขนาดใหญ่ - ตั้งเป้าการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน
โดยธนาคารไทยพาณิชย์มีเป้าหมายที่จะจัดสรรวงเงินจำนวน 150,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ให้สำเร็จภายใน พ.ศ. 2566 – 2568

ก้าวต่อไปเพื่อความยั่งยืน
ผู้ร่วมเสวนาทุกท่านเห็นพ้องกันว่า การยกระดับเงินทุนเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และความท้าทายทีสำคัญข้อหนึ่งคือ การมีข้อมูลที่เปิดเผย ครบถ้วน และถูกต้อง ซึ่ง Thailand Climate Finance Tracker ที่ CFNT จัดทำขึ้นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เห็นช่องว่างที่ขาดหายไปด้านเงินทุน
พร้อมกันนั้น ข้อมูลดังกล่าวยังช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ด้านนวัตกรรม โดยเฉพาะการออกแบบบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนอย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น
ดาวน์โหลดเอกสารนำเสนอได้ที่: