
หลังจากเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand หรือ CFNT) เปิดตัวเครื่องมือ Thailand Climate Finance Tracker ไปเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุด ทีม CFNT ต่อยอดเครื่องมือดังกล่าวให้สามารถนำไปใช้ได้จริงและวิเคราะห์ข้อมูลลงลึกผ่านการจัดเวิร์กช็อปจากฐานข้อมูลดังกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกในงาน GCNT Expo 2025
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 CFNT ร่วมกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand หรือ UNGCNT) จัดงานเวิร์กช็อป ‘Deep Dive into Thailand’s Climate Finance Landscape’ ขึ้นภายในงาน GCNT Expo 2025 ณ อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ก โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วนทั้งสถาบันการเงินไทย สถาบันการเงินระหว่างประเทศ ภาคเอกชน ภาครัฐ องค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ รวมถึงผู้ที่สนใจด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
ในบทความนี้ พวกเราจะมาเล่าให้ฟังว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้างในเวิร์กช็อปดังกล่าว และพวกเราได้รับเสียงตอบรับและข้อเสนอแนะอย่างไรบ้างจากผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อป

Thailand Climate Finance Tracker คืออะไร
Thailand Climate Finance Traker คือเครื่องมือที่ CFNT พัฒนาขึ้นเพื่อติดตามการไหลเวียนของเงินทุนไทยในการรับมือกับภาวะโลกรวนผ่านการเก็บข้อมูลการลงทุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการเงินที่สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนรวมทั้งสิ้นกว่า 3,500 โครงการ โดยแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่
- การเงินเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Climate Mitigation Finance) เก็บข้อมูลการลงทุนเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ พ.ศ. 2561 – เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ในโครงการที่ดำเนินการในประเทศไทย เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การกระจายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือขนส่งมวลชนสาธารณะพลังงานไฟฟ้า
- การเงินเพื่อปรับตัวและรับมือภาวะโลกรวน (Climate Adaptation Finance) เก็บข้อมูลการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและรับมือกับภาวะโลกรวนตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2567 ของโครงการที่ดำเนินงานในประเทศไทย เช่น ศูนย์ข้อมูลและระบบเตือนภัยพิบัติ การเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติในเขคเมือง หรือโครงการจัดการน้ำ
ทีมวิจัยของ CFNT จัดทำเครื่องมือนี้ขึ้นเพื่อสะท้อนภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์เกี่ยวกับเงินทุนที่ใช้เพื่อรับมือภาวะโลกรวนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน ก็ฉายภาพภาคส่วนเศรษฐกิจที่ถูกละเลยด้านเงินทุนในด้านดังกล่าว โดย CFNT หวังว่าเครื่องมือ Climate Finance Tracker จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกภาคส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสอดประสานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้จะได้ภาพภูมิทัศน์ทางการเงินด้านการรับมือกับภาวะโลกรวนของประเทศไทยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด CFNT ตระหนักถึงข้อจำกัดในการเก็บข้อมูล เช่น ข้อจำกัดในการเข้าถึงรายละเอียดของโครงการที่เกี่ยวข้อง ความไม่ชัดเจนของข้อมูล ตลอดจนช่องว่างในการติดตาม รายงาน และทวนสอบข้อมูล อย่างไรก็ดี CFNT วางแผนที่จะทบทวนและพัฒนาการเก็บข้อมูลด้านการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนประจำทุกปี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ฐานข้อมูลนั้นครบถ้วนยิ่งขึ้นและกลายเป็นจิกซอว์ชิ้นสำคัญ ที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในการรับมือกับภาวะโลกรวนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เวิร์กช็อป Deep Dive into Thailand’s Climate Finance Landscape
งานเวิร์กช็อป ‘Deep Dive into Thailand’s Climate Finance Landscaper’ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ระหว่างเวลา 13.00 – 16.00 น. ณ อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ก โดยผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปมาจากหลายภาคส่วน อาทิ ภาครัฐ สถาบันการเงิน ภาคเอกชน ตลอดจนสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ
เมื่อผู้เข้าร่วมงานเข้ามาถึงห้องเวิร์กช็อป ทีม CFNT ได้ให้ผู้เข้าร่วมงานลองทายว่า ภาคเศรษฐกิจใด ที่ได้รับเงินลงทุนเพื่อรับมือกับสภาวะโลกรวนมากที่สุด แบ่งเป็นด้านการเงินเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Climate Mitigation Finance) และการเงินเพื่อปรับตัวและรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Adaptation Finance) โดยมีภาคพลังงาน ภาคการขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมได้รับการลงคะแนนมากที่สุดสำหรับ Climate Mitigation Finance ขณะที่ภาคเกษตรกรรม ภาคการจัดการน้ำและสุขาภิบาล ได้รับคะแนนสูงสุดสำหรับ Climate Adaptation Finance
สะท้อนให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมงานเห็นความสำคัญของภาคดังกล่าวในการได้รับเงินทุนเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับสถานการณ์เงินทุนด้านการรับมือกับภาวะโลกรวนของประเทศไทย
หลังจากนั้น จึงเข้าสู่ช่วงของการแนะนำตัวและเนื้อหาหลักของการเวิร์กช็อปครั้งนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลักๆ ได้แก่
ช่วงแรก นำเสนอเครื่องมือ Thailand Climate Finance Tracker โดย ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยของ CFNTโดยเริ่มต้นอธิบายตั้งแต่ที่มาของงานวิจัย ระเบียบวิธีการเก็บข้อมูล แหล่งข้อมูล ข้อค้นพบจากงานวิจัย ตลอดจนข้อจำกัดและอุปสรรคที่ทีมวิจัยพบ ก่อนที่จะเปิดให้ผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปถามคำถาม โดยมี ธนิดา และ สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ CFNT เป็นผู้ร่วมกันตอบคำถาม
จากนั้น ทางผู้ดำเนินรายการได้ปูพื้นฐานข้อมูลก่อนการเวิร์กช็อป และทบทวนความเข้าใจจากการนำเสนอผลการวิจัย โดยเริ่มจากโจทย์ที่ให้แจกแจงว่ากิจกรรมที่กำหนดให้นั้นเข้าข่ายการลงทุนเพื่อปรับตัวต่อภาวะโลกรวนหรือการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การเปลี่ยนหลอดไฟในอาคารเป็นหลอด LED (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ตลอดจนชวนให้ถกเถียงว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ห่างไกลเป็นการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนหรือการลดก๊าซเรือนกระจก

และจากนั้น CFNT ชวนคิดว่าในงานวิจัยจะนับรวมโครงการใดบ้าง เนื่องจากเครื่องมือ Climate Finance Tracker เน้นเฉพาะข้อมูลการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนที่มีคำมั่นสัญญาชัดเจน เช่น ฐานข้อมูลจะไม่นับรวมโครงการปรับปรุงให้โรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดขึ้น เพราะท้ายที่สุด แม้การปรับปรุงจะลดก๊าซเรือนกระจกในระยะหนึ่ง แต่กลับทำให้การผลิตไฟฟ้ายังคงพึ่งพิงพลังงานจากฟอสซิลในระยะยาว หรือ ฐานข้อมูลไม่นับรวมโครงการป้องกันอัคคีภัยทั่วไปที่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อรับมือภาวะโลกรวนอย่างชัดเจน

ในช่วงสอง เวิร์กช็อป Deep Dive Into Thailand’s Climate Finance Landscape ทีมวิจัยของ CFNT ได้แบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปออกเป็น 3 กลุ่ม และให้ร่วมกันออกแบบการลงทุนจำนวน 100 ล้านบาท เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน โดยกำหนดให้มีการลงทุนทั้งหมด 3 โครงการ แบ่งเป็นการลดก๊าซเรือนกระจก 2 โครงการ และการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน 1 โครงการ โดยทุกกลุ่มต้องระบุภาคเศรษฐกิจที่ลงทุน กลยุทธ์ด้านการเงิน และวิธีการวัดผล
ทุกกลุ่มต่างคร่ำเคร่งและช่วยกันออกแบบกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ยกตัวอย่าง กลุ่มหนึ่งได้ตั้งชื่อโครงการว่า Project for Power Plant และได้จัดสรรเงินในด้านการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ออฟฟิศของบริษัทและเพิ่มศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า ส่วนการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนได้เสนอให้มีการลงทุนในระบบเตือนภัยน้ำท่วมและขาดแคลนนี้ในพื้นที่รอบโครงการโดยวางแผนที่จะใช้ตราสารหนี้สีเขียวเป็นแหล่งเงินทุนหลัก แต่หากไม่เพียงพอ จะมีการกู้เงินจากธนาคารระหว่างประเทศ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ครบถ้วนและน่าสนใจ

เสียงตอบรับและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อป
CFNT ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปถึงสาเหตุที่เข้าร่วมการเวิร์กช็อป ข้อเสนอแนะต่อเครื่องมือ Thailand Climate Finance Tracker และประโยชน์ที่ได้รับการจากการเวิร์กช็อปครั้งนี้
“ดิฉันมองว่า Thailand Climate Finance Tracker เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูง เพราะให้ข้อมูลที่ละเอียดแบบ bottom-up ครอบคลุมทั้งแหล่งเงิน เครื่องมือทางการเงิน ภาคส่วนเศรษฐกิจ และการใช้เงินทุน ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและจุดอ่อนของระบบการลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศได้ชัดเจนขึ้น” คุณออมกล่าว
คุณออม หนึ่งในผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปที่ทำงานด้านการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อรับมือภาวะโลกรวนกล่าวต่อว่า Thailand Climate Finance Tracker สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยยังคงกระจุกอยู่ในภาคพลังงานและขนส่งเกือบ 65% แสดงให้เห็นว่าเงินทุนในประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับฝั่งอุปสงค์มากกว่าฝั่งอุปทาน

ขณะที่ทางด้าน คุณนัท ที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกกล่าวชื่นชมว่า Thailand Climate Finance Tracker ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เขาชี้ให้เห็นถึงจุดที่ควรเพิ่มเติมบางประการเช่นกัน
“ผมคิดว่า Thailand Climate Finance Tracker ยังขาดตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น ประสิทธิภาพของการลดก๊าซเรือนกระจกเทียบกับเงินลงทุนที่จ่ายไป เพราะข้อมูลชุดนี้ จะทำให้เรารู้ว่าควรต้องใช้เงินไปกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และเท่าไหร่เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก” คุณนัทกล่าว
คุณนัทเสริมว่าตัวชี้วัดดังกล่าว จะทำให้ข้อมูลละเอียดและรอบด้านมากขึ้น ที่สำคัญ จะช่วยทำให้การโน้มน้าวใจนักลงทุนและผู้บริหารให้ลงทุนในการรับมือภาวะโลกรวนทำได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตรงจุดมากขึ้น

หลังจากที่ได้ดูข้อมูลและเข้าร่วมเวิร์กช็อป ทางด้านคุณออมมองว่าประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวเพื่อรับมือภาวะโลกรวน โดยเฉพาะ “ภาคเกษตรกรรมและการจัดการทรัพยากรน้ำ” เพราะเป็นภาคส่วนที่เปราะบางและได้รับเงินลงทุนในสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับการลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ เธอยังเสริมว่าข้อมูลบ่งชี้ว่าการลงทุนยังมาจากภาครัฐเป็นหลัก จึงควรผลักดันให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนและ blended finance เพิ่มขึ้น
ข้อมูลดังกล่าวสอดรับกับข้อค้นพบของ CFNT ใน Thailand Climate Finance Tracker ที่พบว่าเม็ดเงินลงทุนเพื่อปรับตัวและรับมือภาวะโลกรวนในไทยอยู่ที่ 1.48 แสนล้านบาท หรือมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของเงินลงทุนในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย (1.7 ล้านล้านบาท)
ที่สำคัญ เงินลงทุนในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนของไทยยังนับว่าห่างจากเงินลงทุนทั้งหมดที่ต้องใช้ในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนตามการประเมินของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific หรือ UNESCAP) ที่ประเมินว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เงินทุนทั้งหมดในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนราว 0.9 – 1 ล้านล้านบาท
ทั้งคุณนัทและคุณออมต่างเห็นตรงกันว่าข้อมูลชุดนี้จะมีประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนไม่มากก็น้อย โดยส่วนตัวคุณออมเล่าว่า เธอสามารถนำข้อมูลชุดนี้ไปต่อยอดในงานที่ทำอยู่ได้อย่างดีขึ้น
“ความรู้จากเวิร์กช็อปนี้สามารถนำไปต่อยอดได้อย่างชัดเจนในงานวางแผนการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนภายในองค์กร เช่น การพิจารณาทิศทางการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ การออกแบบเครื่องมือทางการเงินสีเขียวที่สอดคล้องกับ taxonomy ของประเทศไทย รวมถึงการยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านการเงินที่สอดคล้องกับสภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น IFRS S2 และ CDP ได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น” คุณออมทิ้งท้าย

CFNT ขอบคุณผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปทุกคนสำหรับความกระตือรือร้นและพลังงานที่ยอดเยี่ยมตลอดการเวิร์กช็อป และขอบคุณ GCNT เป็นอย่างสูงที่ให้โอกาสพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของงาน GCNT Expo 2025 พวกเราจะนำทุกคำชื่นชมและข้อเสนอแนะไปปรับปรุงการทำงานของเราให้ดียิ่งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วพบกันใหม่ ในกิจกรรมครั้งต่อไปของ CFNT
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Thailand Climate Finance Tracker
สามารถเข้าไปดูได้ที่: https://climatefinancethai.com/th/tracker-th/mitigation-th/