ทำไมประเทศไทยต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซมีเทน

Share

เมื่อพูดถึงก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ตัวการอันดับแรกที่ปรากฎในความคิดย่อมหนีไม่พ้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่หากเทียบกันในกรอบระยะเวลา 20 ปี ก๊าซมีเทนส่งผลให้อุณภูมิโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่าตัว อีกทั้งยังเป็นสาเหตุเกือบครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ก๊าซมีเทนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะเชื้อเพลิงอย่างก๊าซธรรมชาติที่เราคุ้นเคยกันดีมีองค์ประกอบของก๊าซมีเทนกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

นับตั้งแต่การประชุม COP26 ที่กลาสโกว์ หลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มหันมาสนใจก๊าซมีเทน เนื่องจากอายุในชั้นบรรยากาศที่น้อยกว่าและสามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การลดการปล่อยก๊าซมีเทนจึงเป็นการแก้ปัญหาสภาพอากาศที่ง่ายและได้ผลรวดเร็วที่สุด นำไปสู่การให้คำมั่นโดยบรรดาผู้นำนานาประเทศในการลดการปล่อยก๊าซมีเทนลง 30 เปอร์เซ็นต์ภายในหนึ่งทศวรรษหรือที่เรียกว่าปฏิญญาสากลเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน (Global Methane Pledge)

ต่อเนื่องมายังการประชุม COP28 ที่ถูกจับตาและวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะเจ้าภาพผู้จัดการประชุมยังเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยมากนักกับแผนลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อรับมือวิกฤติภูมิอากาศ ในทางกลับกัน หลายคนก็คาดหวังว่าเจ้าภาพจะสามารถนำผู้นำในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมานั่งในวงประชุม

หนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมคือเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566 เหล่ายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมน้ำมันรวม 50 บริษัทก็ได้บรรลุโครงการความร่วมมือที่ชื่อว่า The Oil & Gas Methane Partnership 2.0 (OGMP 2.0) เพื่อขจัดการปล่อยก๊าซมีเทนในกิจกรรมสำรวจและผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เป็นศูนย์ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าโครงการความร่วมมือดังกล่าวไม่ต่างจากการ ‘ฟอกเขียว’ เนื่องจากไม่ได้ช่วยนำไปสู่การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแต่อย่างใด

แม้ว่าผลลัพธ์ดังกล่าวอาจไม่ใช่การเปลี่ยนแบบพลิกกระดาน แต่อย่างน้อยผู้เขียนมองว่าเหล่าบริษัทในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งที่ผ่านมาปักธงในฐานะผู้ปฏิเสธวิกฤติภูมิอากาศและพยายามขัดขวางการออกกฎหมายทุกประการที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก OGMP 2.0 จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่บริษัทเหล่านั้นยอมรับกลายๆ ว่าตนเองเป็นสาเหตุของวิกฤติและต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากประเด็นเร่งด่วนที่สุดคือก๊าซมีเทน

 ‘ก๊าซมีเทน’ มาจากไหน

แหล่งปล่อยก๊าซมีเทนของโลกประกอบสร้างจากสามเสาหลักที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์ เสาแรกคืออุตสาหกรรมพลังงานซึ่งก๊าซมีเทนรั่วไหลจากกระบวนการสำรวจและผลิตรวมถึงการขนส่ง เสาที่สองคือภาคการเกษตรที่ก๊าซมีเทนเกิดจากปศุสัตว์และการทำนาแบบน้ำท่วมขัง เสาที่สามคือแหล่งทิ้งขยะ ส่วนก๊าซมีเทนที่เหลือราว 30 เปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยเฉพาะในพื้นที่ชุ่มน้ำ

ในการประชุม COP28 แสงไฟทุกดวงสาดมายังอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยคาดหวังว่าจะมีความก้าวหน้าสำคัญในการร่วมลดการปล่อยก๊าซมีเทน สาเหตุก็เนื่องจากเทคโนโลยีที่ถึงพร้อมทั้งในแง่การตรวจจับและการป้องกันก๊าซรั่ว รวมถึงฟากฝั่งการเมืองเองก็เดินหน้าตรากฎหมายเกี่ยวกับก๊าซมีเทน

 ตัวอย่างวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศอยู่ที่สตาวังเงอร์ (Stavanger) เมืองหลวงของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของนอร์เวย์ นับตั้งแต่ปี 2514 รัฐบาลนอร์เวย์สั่งห้ามไม่ให้มีการเผาก๊าซทิ้งที่ปล่อง (flaring) ในแท่นก๊าซธรรมชาติที่ตั้งอยู่บริเวณนอร์ธซี (North Sea) เพราะกระบวนการดังกล่าวมักจะทำให้ก๊าซมีเทนจำนวนมากหลุดรอดสู่ชั้นบรรยากาศโดยไม่ได้ผ่านการเผาไหม้ นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของนอร์เวย์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับอังกฤษ

เมื่อไม่สามารถเผาก๊าซธรรมชาติที่แท่นเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า เหล่าบริษัทน้ำมันจึงต้องลงทุนต่อสายไฟฟ้าจากแผ่นดิน หรือพัฒนาโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งเพื่อใช้เป็นพลังงานสำหรับแท่นขุดเจาะ องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency) คาดการณ์ว่าหากอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทุกประเทศสามารถลดการเข้มข้นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนเหลือเท่ากับของนอร์เวย์ ปริมาณการปล่อยก๊าซมีเทนก็จะลดลงร่วม 90 เปอร์เซ็นต์

เหล่านักวิจัยยังได้พัฒนากลไกเพื่อติดตามและตรวจจับก๊าซมีเทน ไม่ว่าจะใช้ดาวเทียม เครื่องบิน หรือเซนเซอร์ภาคพื้นดิน ประกอบกับปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ผลลัพธ์ที่ได้คือแผนที่โลกซึ่งระบุว่าจุดใดบ้างบนโลกที่มีก๊าซมีเทนรั่วไหลและใครต้องรับผิดชอบ โดยนักวิจัยพบว่าการรั่วไหลขนาดใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่อัลจีเรีย สหรัฐอเมริกา อิหร่าน คาซักสถาน รัสเซีย และเติร์กเมนิสถาน

ฝั่งการเมืองเองก็เริ่มตื่นตัว เริ่มจากยักษ์ใหญ่ฝั่งตะวันออกอย่างประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซมีเทนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในปัจจุบันก็เปิดเผยว่าจะมีการนำเอาก๊าซมีเทนเป็นหนึ่งในเป้าหมายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับชาติ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ไม่น้อยหน้าโดยมีการประกาศมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้องนำเทคโนโลยียุคใหม่มาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน ขณะที่สหภาพยุโรปก็อนุมัติชุดมาตรฐานเพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซมีเทนครอบคลุมทั้งภาคพลังงานภายในประเทศและการนำเข้าพลังงาน

 เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยซึ่งสามารถใช้แก้ปัญหาและตรวจจับการรั่วไหล ประกอบกับชุดกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดอาจทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้อย่างที่คาดหวัง นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในแวดวงการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ประเทศไทยกับการปลดปล่อยก๊าซมีเทน

หันกลับมาที่ประเทศไทย เราอยู่ในฐานะผู้ปล่อยก๊าซมีเทนในระดับกลางๆ โดยอุตสาหกรรมหลักที่ปล่อยก๊าซมีเทนคือภาคการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวน้ำขังซึ่งเป็นวิธีการทำนายอดนิยมในฟากฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือแหล่งทิ้งขยะซึ่งใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งเรียกว่าก๊าซมีเทนรั่วไหล (Fugitive Emissions) กล่าวคือก๊าซที่เล็ดรอดออกมาสู่ชั้นบรรยากาศระหว่างกระบวนการขุดเจาะหรือกระบวนการขนส่ง

หากใครพลิกดูรายชื่อบริษัทที่ร่วมลงนามใน The Oil & Gas Methane Partnership 2.0 จะพบว่ารัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ของไทยก็เข้าไปมีส่วนร่วมโดยส่งบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ไปร่วมลงนาม แม้การตัดสินใจดังกล่าวจะนับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ แต่ความจริง ปตท.สผ. ก็ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซมีเทนตั้งแต่ปี 2559 แล้ว เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าแหล่งก๊าซในอ่าวไทยเหลืออยู่ไม่มาก และในอนาคตอันใกล้เราจำเป็นจะต้องพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เท่ากับว่าการลงนามในความร่วมมือดังกล่าวก็อาจไม่ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนในระดับประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

อีกเรื่องหนึ่งที่นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง คือการที่ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในปฏิญญาสากลเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน โดยนายวราวุธ ศิลปะอาชา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุม COP27 อ้างว่าสาเหตุที่ไทยไม่ลงนามเนื่องจากก๊าซมีเทนส่วนใหญ่มาจากภาคการเกษตร ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวจำนวนมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียต่างก็ร่วมลงนาม เราจึงอยู่ในกลุ่มเดียวกับลาวและพม่าที่ตัดสินใจไม่ร่วมลงนามในปฏิญญาสากลเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน

ไทยในฐานะประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง การปฏิเสธไม่ร่วมลงนามจึงนับว่าน่าเสียดายและกลายเป็นความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่าน (transition risk) เพราะจะช้าหรือเร็ว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศส่วนใหญ่จึงเลือกเปลี่ยนแปลงตัวเองล่วงหน้าเพื่อให้อุตสาหกรรมในประเทศพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนประเทศใดที่ยังไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงก็จะถูก ‘บังคับ’ ให้เปลี่ยนแบบฉับพลัน เช่นกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นแล้วอย่าง มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่เรียกเก็บค่าคาร์บอนเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าคาร์บอนสูงอย่างเหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอลูมิเนียม

ผู้เขียนไม่อยากนึกภาพเลยว่าตลาดส่งออกข้าวจะเป็นอย่างไร ถ้าวันดีคืนดีประเทศคู่ค้ามีการเรียกเก็บ ‘ภาษีมีเทน’ ขณะที่คู่แข่งการส่งออกข้าวอย่างเวียดนามพร้อมรับมือเพราะเดินหน้าคิดค้นวิธีผลิตข้าวมีเทนต่ำได้แล้ว ส่วนของไทยยังย่ำอยู่ในวังวนของการ อุดหนุน-เยียวยา-พักหนี้ เพราะรัฐบาลไม่กล้าหาญมากพอที่เริ่มเปลี่ยนแปลง

เอกสารประกอบการเขียน

รพีพัฒน์ เป็นนักเขียนและนักแปลอิสระด้านการเงิน เขาจบปริญญาโทด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมวิจัยประจำ CFNT รวมถึงเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์