สรุปวงเสวนา ‘จากอลหม่านสู่ยืดหยุ่น: ร่วมออกแบบอนาคตการปรับตัวต่อโลกรวน’

Share

มหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ปรากฎการณ์เอลนีโญที่สลับแปะมือกับลานีญา ตลอดจนความตื่นตัวต่ออนาคตกรุงเทพใต้บาดาล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนดังๆ ถึงประเทศไทยว่าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว 

คำถามสำคัญคือ ประเทศพร้อมแค่ไหนต่อความอลหม่านที่รอคอยอยู่ข้างหน้า? 

ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันในเวทีเสวนา ‘จากอลหม่านสู่ยืดหยุ่น: ร่วมออกแบบอนาคตการปรับตัวต่อโลกรวน’ ที่จัดขึ้นในภาคบ่ายของงานเปิดตัว ‘2025 Climate Finance Tracker: เปิดข้อมูลการไหลของเงินทุนไทย’ จัดขึ้นโดยเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน ซึ่งได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อพูดคุยกันถึงอนาคตของประเทศไทยในการรับมือและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ

ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้างจากภาวะโลกรวน? ภัยพิบัติเป็นปัญหาใหญ่แค่ไหน? เรามีความพร้อมในการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศแค่ไหน? และเราต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดใดบ้าง เพื่อรับมือสภาวะโลกรวน? ร่วมหาคำตอบได้ในบทความสรุปงานเสวนาชิ้นนี้  

ทำไมข้อมูลถึงสำคัญในการรับมือภาวะโลกรวน? – ดร. กรรณิการ์ ธรรมพาณิชวงศ์

ดร. กรรณิการ์ ธรรมพาณิชวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์  และหนึ่งในผู้ร่วมทำวิจัย Thailand Climate Finance Tracker เริ่มต้นด้วยการอธิบายถึงผลกระทบจากภาวะโลกรวนต่อประเทศไทย โดยข้อมูลจากฐานข้อมูลภัยพิบัติ EM-DAT ระหว่าง พ.ศ. 2543 – 2565 บ่งชี้ว่าภัยพิบัติทางน้ำเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งเกิดขึ้นมากกว่า 60 ครั้งตลอด 22 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2,457 ราย และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจคิดเป็น 0.57% ของ GDP นอกจากนี้ยังมีภัยพิบัติ เช่น ภัยแล้ง พายุถล่ม หรือแผ่นดินไหวที่กระทบต่อประเทศไทยเช่นกัน 

“ช่วงที่ผ่านมาอุณหภูมิโลกสูงขึ้นแค่ 1 องศาเซลเซียส ประเทศไทยยังเจอภัยพิบัติรุนแรงขนาดนี้  ถ้าอุณหภูมิโลกสูงขึ้นไปถึงระดับ 2 – 4 องศาเซลเซียส ประเทศไทยจะเผชิญภัยพิบัติสุดขั้วที่บ่อยและรุนแรงขึ้นขนาดไหน”
ดร. กรรณิการ์กล่าว  

ดร. กรรณิการ์ ธรรมพาณิชวงศ์

ดร. กรรณิกาชี้ว่า อีกปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญคู่ไปกับการรับมือภาวะโลกรวนคือ ขาดแคลนงานวิจัยและฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน แม้จะเริ่มมีงานวิจัยที่ประเมินผลกระทบของภาวะโลกรวนต่อเศรษฐกิจบางภาคส่วนเช่นภาคเกษตร แต่ผลกระทบในด้านอื่นๆ เช่น ภาคการท่องเที่ยวหรือภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ยังถือว่าขาดอยู่มาก

โดยงานวิจัย Thailand Climate Finance Tracker เป็นส่วนหนึ่งที่พยายามเข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว ดร. กรรณิการ์หยิบยกข้อมูลน่าสนใจที่พบจากการร่วมทำวิจัยว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 – 2567 ประเทศไทยใช้เงินทุนในการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนราว 1.48 แสนล้านบาท แต่จากการประเมินของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่สหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific หรือ UNESCAP) คาดการณ์ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เงินมากถึง 16 ล้านล้านบาทในการรุกรับและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ยังพบว่า 98% ของการลงทุนทั้งหมดมาจากภาครัฐ 

ถึงแม้ ข้อมูลดังกล่าวจะบอกเราว่าประเทศไทยยังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย และมีช่องว่างทางการเงินจำนวนมากที่ต้องถมให้เต็ม แต่ในอีกทางหนึ่ง ดร. กรรณิการ์กลับมองว่าข้อมูลเช่นนี้เองที่ช่วยให้เราเดินไปข้างหน้าได้อย่างถูกทิศทางมากขึ้น องค์กรต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น และสุดท้าย ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้ภาครัฐออกแบบนโยบายรับมือภาวะโลกรวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การปรับตัวต่อภาวะโลกรวนเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปเรื่อยๆ ดังนั้น มันควรจะมีการทบทวนและติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ ต้องอาศัยข้อมูลอีกหลายส่วน ตั้งแต่ input, output, outcome เพื่อวัดถึง impact ของนโยบาย”
ดร. กรรณิการ์ทิ้งท้าย  

ภาวะโลกรวนคือ ภัยพิบัติทางน้ำ – ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า  

ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศส่งผลทั่วโลกเผชิญอุทกภัยที่รุนแรงและคาดการณ์ได้ยากขึ้น ยกตัวอย่าง เหตุการณ์น้ำท่วมในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถึงแม้จะมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า แต่ระดับน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 500 มิลลิเมตรในเวลาเพียงแค่ 3 – 4 ชั่วโมงกลับทำให้ไม่สามารถอพยพผู้คนได้ทัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย137 ราย  

ขณะที่ในประเทศไทย ปัญหาเรื่องน้ำก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยระบาดวิทยาด้านภัยพิบัติ (Centre for Research on the Epidemiology of Disasters หรือ CRED) ที่เก็บข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2443 – 2563 พบว่า ประเทศไทยเผชิญภัยพิบัติทางน้ำบ่อยครั้งที่สุด และเพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

แต่ในอีกด้านก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยพัฒนาเรื่องการจัดการน้ำไปบางส่วน โดยข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตั้งแต่ พ.ศ. 2547 – 2566 ชี้ว่า ความเสียหายจากอุทกภัยในภาพรวมมีแนวโน้มลดลง แม้บางภาคส่วนยังคงเผชิญความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะถูกใช้เป็นพื้นที่รับน้ำ เช่น ภาคการเกษตร

ดร. สิตางศุ์ชี้ว่าเรื่องน้ำเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยเสมอ และนโยบายการจัดการน้ำของไทยมีความเป็นพลวัตรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากเดิมที่เน้นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำและผลิตไฟฟ้า มาสู่การให้ความสำคัญกับภาวะโลกรวน เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและการออกแบบระบบเตือนภัยพิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 

ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า

คำถามสำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยจัดการและรับมือปัญหาน้ำได้มีประสิทธิภาพแล้วหรือไม่? 

ดร. สิตางศุ์ตอบคำถามข้างต้นผ่านการยกตัวอย่างการเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านน้ำและภัยพิบัติอย่างก้าวกระโดดหลังเหตุการณ์มหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ที่เม็ดเงินจำนวน 5,922 ล้านบาทลงทุนไปกับผนังและเขื่อนป้องกันตลิ่งความยาว 49,000 กม. และผนังกั้นน้ำความยาว 4,027 กม. (คิดเป็น 1 ใน 10 ของพื้นที่ลำน้ำทั้งหมด 490,000 กม.) แต่เมื่อต้องรับมือกับปริมาณน้ำในสถานการณ์จริงกลับแตกและพังลง 

ดร. สิตางศุ์กล่าวต่อว่า ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายในเรื่องน้ำอย่างรอบด้าน ทั้งการสูญเสียน้ำประปาปริมาณกว่า 800 ล้าน ลบ.ม./ ปี หรือเทียบเท่าเขื่อนกิ่วลมสามเขื่อน เพราะปัญหาท่อส่งน้ำแตกและรั่วซึม หรือปัญหาน้ำแล้ง คุณภาพน้ำประปา ตลอดจนสารพิษในแม่น้ำกกที่กำลังสะท้อนปัญหาเรื่องน้ำที่ไปไกลกว่าพรมแดนประเทศไทย 

“ในเรื่องของการแก้ปัญหาน้ำ ดูเหมือนวิธีที่เราทำกันมาตลอด 120 ปี จะไม่สามารถตอบโจทย์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้อีกแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือ วิสัยทัศน์ การบูรณาการ และความกล้าในการเปลี่ยนแปลง” ดร.สิตางศุ์สรุป

เปลี่ยนผ่านเมืองสีเทาสู่สีเขียวและฟ้า – ดร. นาอีม แลนิ  

“ระบบที่ยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติที่สุดคือระบบธรรมชาติ ระบบป้องกันคลื่นทะเลที่ดีที่สุดคือป่าชายเลนและป่าโกงกาง ระบบที่หน่วงน้ำได้ดีที่สุดคือแม่น้ำ แต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกลับทำลายระบบเหล่านั้น”
ดร. นาอีม แลนิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพื้นที่และออกแบบเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  

ดร. นาอีม เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยออกแบบวิธีการรับมืออุทกภัยโดยคำนึงถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเชิงกายภาพเป็นหลัก แต่นอกจากจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหามันยังนำไปสู่สิ่งที่เขาเรียกว่า ‘วงจรอุบาทว์’ ของการจัดการน้ำทั้งหมด 3 ด้าน 

  • ด้านแรก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันอุทกภัยกลับนำไปสู่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอื่นต่อไปไม่รู้จบ เช่น กำแพงกั้นคลื่นที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ  และการสร้างกำแพงกั้นตลิ่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
  • ด้านที่สอง การกักเก็บทรัพยากรน้ำด้วยการสร้างเขื่อนกลับยิ่งทำให้ประเทศเมินเฉยต่อพื้นที่กักเก็บน้ำจากธรรมชาติ
  • ด้านที่สาม ยิ่งโครงสร้างพื้นฐานป้องกันพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งได้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้พื้นที่อื่นกลับเปราะบางยิ่งขึ้น
ดร. นาอีม แลนิ

ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเมืองชี้ชวนให้ประเทศไทยหันมาให้ความสนใจกับกระบวนการออกแบบและวางแผน พยายามทำความเข้าใจระบบธรรมชาติรอบตัวหรือลักษณะทางภูมิศาสตร์ว่าเป็นอย่างไร และความซับซ้อนเชิงระบบ การสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนใกล้เคียง รวมถึงชวนตั้งคำถามว่าเราต้องการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ต้องแลกมาด้วยระบบธรรมชาติซึ่งยืดหยุ่นที่สุดแล้วต่อภัยพิบัติทางน้ำ

ข้อเสนอในการจัดการน้ำจากนักออกแบบเมืองผู้นี้มีทั้งหมด 3 ข้อ

ข้อแรก ออกแบบวิธีการปรับตัวร่วมกับชุมชน เพราะชุมชนคือคนพื้นที่ ย่อมเข้าใจพื้นที่มากที่สุด 

ข้อที่สอง ทลายระบบไซโลของหน่วยงานดูแลน้ำ โดยเขาเสนอระบบ 3+ โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการน้ำ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมชลประทาน สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานหลักในการผสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น หน่วยงานท้องถิ่น 

ข้อที่สาม ออกแบบระบบจัดการน้ำด้วย Nature-based Solutions หรือการหาทางออกโดยมีธรรมชาติเป็นฐาน เช่น โครงการแก้มลิง การอนุรักษ์ป่าโกงกาง หรือการรักษาพื้นที่ชุมน้ำ

สุดท้าย เขาเสนอให้ภาครัฐไทยหันมาเพิ่มการลงทุนใน 3 มิติที่นอกเหนือจากด้านเม็ดเงิน ได้แก่ การลงทุนในการทำงานร่วมกันเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม การลงทุนโดยมองเห็นประโยชน์ด้านอื่น เช่น สิ่งแวดล้อมหรือวัฒนธรรม และการลงทุนกับท้องถิ่นและภาคเอกชน โดยภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และสถาบันการเงินควรมีบทบาทร่วมกันในการแก้ไขปัญหาของเมือง

“ถึงแม้ เราอาจคำนวณเรื่องเหล่านี้เป็นเม็ดเงินได้ยาก แต่ผมเชื่อว่าเมื่อไหร่ที่เราให้ค่าต่อกระบวนการหรือทรัพยากรธรรมชาติ วันหนึ่งเราจะสามารถคำนวณความคุ้มค่าของมันออกมาได้ในที่สุด” ดร. นาอีมกล่าว

กรุงเทพฯ บนเส้นทางสู่เมืองน่าอยู่

ดร. วิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานครเริ่มต้นด้วยตัวเลข 2 ชุด 

ตัวเลขแรกคือ เลข 1 ซึ่งมีที่มาจากแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวหลายแห่งที่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุดในใจของนักท่องเที่ยว 

ตัวเลขที่สองคือ 98 ซึ่งมีที่มาจากรายงานของ Global Livability Index ปี 2023 ที่สะท้อนว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าเที่ยวลำดับแรก แต่เป็นเมืองน่าอยู่ลำดับที่ 98 ของโลกเมื่อปี 2023 ตัวเลขที่สองนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่มากขึ้นสำหรับทุกคน

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครมีวิสัยทัศน์ให้กรุงเทพฯ เป็น “เมืองน่าอยู่ สำหรับทุกคน” จึงได้มีการบูรณาการนโยบาย 9 ด้าน 9 ดีเข้ากับตัวชี้วัดสากลเพื่อทำให้เมืองมีความน่าอยู่มากขึ้น ไม่ว่าเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs ตลอดจนมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่เสนอให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย  9 ตร.ม./ คน ที่นำไปสู่โครงการสวน 15 นาที และตัวชี้วัดสากลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น ด้วยความตั้งใจพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ตามมาตรฐานตัวชี้วัดสากล ทำให้ทิศทางที่กรุงเทพฯ กำลังเดินไปเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับความยั่งยืนและการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ

คุณวรนุช สวยค้าข้าว (ซ้าย) ดร.วิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล (ขวา)

ในแง่การปฏิบัติ คุณวรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานครได้ตอกย้ำว่ากรุงเทพฯ​ ให้ความสำคัญกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยฉายภาพให้เห็นชัดเจนผ่านงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่กรุงเทพฯ ได้จัดสัดส่วนเงินสำหรับรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศไว้ 19,885 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21.61% จากงบประมาณ 92,000 ล้านบาทของกรุงเทพฯ โดยแบ่งออกเป็น 

  • การลดก๊าซเรือนกระจก 13,142 ล้านบาท คิดเป็น 66% ของงบประมาณ
  • ปรับตัวต่อภาวะโลกรวน 6,273 ล้านบาท คิดเป็น 32% ของงบประมาณ
  • ป้องกันภาวะโลกรวน 470 ล้านบาท คิดเป็น 2% ของงบประมาณ

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังมีนโยบายที่ออกแบบด้วยแนวคิด Nature Based Solution เช่น การเปลี่ยนหัวกองขยะอ่อนนุชให้กลายเป็นสวนป่าอ่อนนุช โดยให้ชุมชนโดยรอบเป็นผู้ลงมือปลูกต้นไม้เองเพื่อสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วม ผลลัพธ์ที่น่ายินดีคือ พื้นที่ทิ้งขยะอ่อนนุชกลายเป็นสวนป่าที่มีนกอาศัยอยู่กว่า 30 ชนิด สอดคล้องกับนโยบายสวน 15 นาที หรือเขตบึงกุ่มที่แต่เดิมเคยเป็นเพียงพื้นที่รับน้ำ ก็ได้รับการพัฒนาเป็นสวนป่าชุ่มน้ำ กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

กรุงเทพฯ ได้ออกแบบมาตรการด้านการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนด้วยการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน เช่น โครงการผลิตเตาเผาขยะมูลฝอย รวมถึงเปิดรับบริจาคพื้นที่ของเอกชนเพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวตามนโยบายสวน 15 นาที โดยแลกกับการยกเว้นภาษีที่ดินให้เอกชน 7 ปี ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากภาคเอกชน 

ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเส้นชัยข้างหน้าจะยาวไกลและขรุขระ แต่การที่สังคมไทยมีวงเสวนาที่เริ่มพูดคุยเรื่องเหล่านี้มากขึ้น มีข้อมูลที่ครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น และได้เห็นว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ใส่ใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง ก็ทำให้เห็นว่าทางข้างหน้ายังคงมีแสงสว่างและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ยิ่งขึ้น

ดูข้อมูล Thailand Climate Finance Tracker ได้ที่: https://climatefinancethai.com/th/tracker-th/adaptation-th/

ดาวโหลดน์เอกสารเสวนา ได้ที่: