
ท่ามกลางความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance) มีความจำเป็นเนื่องจากช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาประเทศไทยยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับ adaptation finance เนื่องจากไม่มีระบบที่รวบรวมข้อมูลโครงการและงบประมาณที่สนับสนุนด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) ร่วมกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ จึงได้พัฒนา adaptation finance tracker ขึ้นเพื่อปิดช่องว่างด้านข้อมูล
บทความนี้ฉายภาพภูมิทัศน์ของ adaptation finance ในประเทศไทย ความท้าทายและช่องว่างในการดำเนินงานที่สำคัญ รวมถึงข้อมูล adaptation finance ในประเทศไทยที่ผ่านมาจากฐานข้อมูล adaptation finance tracker ที่พัฒนาขึ้น รวมถึงนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถขับเคลื่อนการจัดสรร adaptation finance อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ
ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความสำคัญของการปรับตัว
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้ว โดยเฉพาะน้ำท่วม พายุหมุนเขตร้อน และภัยแล้ง ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคม จากข้อมูลของ The International Disaster Database (EM-DAT) ระบุว่า ระหว่างปี 2000–2022 ประเทศไทยประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากหลายประเภทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะน้ำท่วมและภัยแล้งที่เกิดซ้ำบ่อยครั้ง (รูปที่ 1) ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประชาชนและทรัพย์สินในวงกว้าง
งานศึกษาของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Kaendera et al., 2022) ได้มีการประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2000-2022 โดยพบว่าภัยน้ำท่วมสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงที่สุดคิดเป็น 0.57% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) รองลงมาคือภัยแล้ง (0.04% ของ GDP) และแผ่นดินไหว1 (0.02% ของ GDP)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในอนาคตมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยในอนาคตคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2–4ºC ภายในปี 2100 ในทุกภาพจำลอง นอกจากนี้ ประเทศไทยจะเผชิญกับสภาพอากาศที่สุดขั้วมากขึ้น ทั้งอากาศที่มีแนวโน้มร้อนมากขึ้นและช่วงเวลาที่อากาศร้อนยาวนานขึ้น เผชิญกับทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมฉับพลันจากเหตุการณ์ฝนตกหนักมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การศึกษาโดย Institue (2021) คาดว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสูงถึง 43% ของ GDP ภายในปี 2050 ภายใต้ฉากทัศน์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สูง (RCP 8.52) ด้วยเหตุนี้ การลงทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการลดความเปราะบางของเศรษฐกิจและสังคมต่อภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญของประเทศไทย
ด้วยลักษณะของผลกระทบและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสาขาและภาคเศรษฐกิจ การกำหนดกลยุทธ์การปรับตัวจึงจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับบริบทและลักษณะเฉพาะของแต่ละภาคส่วน เพื่อให้การรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตารางที่ 1 ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญในแต่ละสาขาในบริบทของประเทศไทย
ตารางที่ 1 แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญในบริบทของประเทศไทย
ภาคส่วน | แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ |
เกษตรกรรม | เกษตรแบบผสมผสาน การปรับเปลี่ยนชนิดหรือพันธุ์พืชหรือปศุสัตว์ที่ต้านทานสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมาะสม การทำ climate-smart agriculture |
การท่องเที่ยว | การส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานบริเวณแหล่งท่องเที่ยวให้มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมาะสม การพัฒนาระบบสำรองน้ำเพื่อรับมือภัยน้ำแล้ง ระบบเตือนภัยล่วงหน้า |
ทรัพยากรน้ำ | การปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสำรองน้ำฝน การพัฒนาเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียเพื่อนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ |
สาธารณสุข | ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยล่วงหน้าโรคที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเสริมสร้างขีดความสามารถของสถานพยาบาลในการรับมือกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (เช่น กำแพงป้องกันน้ำท่วม, ระบบสำรองน้ำ ฯลฯ) |
การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ | การพัฒนาพื้นที่สีเขียว การเร่งบูรณาการแนวคิดการออกแบบอาคารที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศเข้าสู่มาตรฐานและข้อกำหนดในการออกแบบอาคาร |
ทรัพยากรธรรมชาติ | การอนุรักษ์และปกป้องพันธุ์พืชและสัตว์เฉพาะถิ่นและที่ใกล้สูญพันธุ์ในระบบนิเวศบนบก ทะเล และชายฝั่ง การส่งเสริมการปลูกป่าและฟื้นฟูป่า การจัดตั้งเครือข่ายป้องกันไฟป่า |
ความต้องการเงินทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance needs)
หากพิจารณามาตรการหรือแนวทางการปรับตัวฯ ในแต่ละสาขา พบว่า การดำเนินมาตรการเหล่านี้ต้องอาศัยแหล่งเงินทุนจำนวนมาก ดังนั้น การจัดหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance) ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และความร่วมมือระหว่างประเทศจึงมีบทบาทสำคัญในการเร่งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประเทศและชุมชนต่อผลกระทบของวิกฤตภูมิอากาศ
มีงานศึกษาหลายชิ้นซึ่งทำการประมาณการ adaptation finance needs สำหรับประเทศไทย เช่น (Kaendera et al., 2022; UNESCAP2024) เป็นต้น โดยจากการประมาณการโดย Kaendera et al., (2022) พบว่าประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเฉลี่ยประมาณ 0.4% ของ GDP ต่อปี หรือประมาณ 2,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 69,834 ล้านบาทต่อปี) และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภาคเอกชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประมาณ 0.7% ของ GDP ต่อปี หรือประมาณ 3,605 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 122,209 ล้านบาทต่อปี) ในขณะเดียวกัน งานศึกษาของ @UNESCAP2024 ได้ประมาณ adaptation finance needs ของประเทศไทยไว้ที่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 1.2% ของ GDP โดยการประมาณการนี้อิงตามภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก RCP 8.5
คำถามที่ตามมาคือที่ผ่านมาประเทศไทยมี adaptation finance มากน้อยเพียงไร เม็ดเงินดังกล่าวใกล้เคียงกับ adaptation finance needs ในบริบทของประเทศไทยหรือไม่ adaptation finance ในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากแหล่งใด และภาคส่วนไหนได้รับการจัดสรร adaptation finance มากที่สุด เพื่อตอบคำถามดังกล่าวเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) ร่วมกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) จึงได้พัฒนาเครื่องมือติดตามเงินทุนเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation finance tracker) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการติดตาม adaptation finance อย่างเป็นระบบและครบถ้วนทุกภาคส่วน
ทำความรู้จัก adaptation finance tracker ในประเทศไทย
ในการพัฒนา adaptation finance tracker มีการกำหนดนิยามการปรับตัวฯ และระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้จำแนกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวฯ ตามแนวทางของ Tailwind Taxonomy for Adaptation & Resilience (Tailwind Taxonomy) ที่เน้นการมี climate rationale ที่ชัดเจน และนับรวมเฉพาะกิจกรรมหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเปราะบางของระบบมนุษย์หรือระบบธรรมชาติต่อผลกระทบและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเสริมสร้างขีดความสามารถในการปรับตัว (adaptive capacity) ของระบบนั้น ๆ (@Tailwind2024) Tailwind Taxonomy จำแนกกิจกรรมด้านการปรับตัวฯ ออกเป็น 8 สาขาหลัก และ 35 ภาคส่วนย่อย (รูปที่ 2)
หลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาว่าโครงการหรือกิจกรรมเข้าข่ายว่าเป็นกิจกรรมหรือโครงการด้านการปรับตัวฯ หรือไม่นั้น มีดังนี้
- การระบุบริบทของความเปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบบนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์
- การระบุเจตจำนงอย่างชัดเจนว่ากิจกรรมหรือโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาหรือจัดการกับความเปราะบางหรือความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- การสร้างความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างบริบทของความเปราะบางกับกิจกรรมภายใต้โครงการ เพื่อให้เห็นว่ากิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการมีส่วนช่วยในการลดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือเสริมสร้างความสามารถในการรับมือได้อย่างไร

แนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล
สำหรับแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด จึงยึดหลักการของ Climate Policy Initiative’s (CPI) ได้แก่
- การหลีกเลี่ยงการนับซ้ำ
- การมุ่งเน้นที่การลงทุนหลัก[3] (primary investment)
- เพิ่มระดับความละเอียดของข้อมูล (maximize granularity of data) โดยพยายามรวบรวมข้อมูลในระดับโครงการ เพราะสามารถระบุวัตถุประสงค์การใช้เงินทุนได้ชัดเจน รวมเฉพาะพันธกรณีทางการเงินที่จับต้องได้ (tangible financial commitments) และรายงานอย่างระมัดระวัง (lean toward conservativeness)
สำหรับประเภทแหล่งเงินทุนที่ครอบคลุมภายใต้ adaptation finance tracker ครอบคลุมทั้งแหล่งเงินทุนจากภาครัฐ แหล่งเงินทุนจากภาคเอกชน รวมถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ โดยแหล่งเงินทุนจากภาครัฐ เช่น งบประมาณรัฐบาลกลาง งบประมาณรัฐบาลท้องถิ่น ในขณะที่แหล่งเงินทุนจากภาคเอกชน ได้แก่ สถาบันการเงิน บริษัทและผู้พัฒนาโครงการ นักลงทุนสถาบัน เป็นต้น สำหรับแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ เช่น กองทุนสภาพภูมิอากาศพหุภาคี (multilateral climate funds) สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา (DFIs) และเงินอุดหนุนจากรัฐบาลต่างประเทศหรือเงินช่วยเหลือในรูปแบบทวิภาคี เครื่องมือทางการเงินที่ครอบคลุมภายใต้ adaptation finance tracker เช่น เงินอุดหนุนหรือเงินให้เปล่า (grants) หุ้นกู้สีเขียวหรือพันธบัตรสีเขียว เป็นต้น ทั้งนี้ adaptation finance tracker ไม่รวมเครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น การค้ำประกัน การประกันภัย ฯลฯ
Adaptation finance ในประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
จากการรวบรวมข้อมูล adaptation finance จากแหล่งข้อมูลระดับโครงการและระดับองค์กรที่เปิดเผยต่อสาธารณะกว่า 670 แหล่ง พบว่า adaptation finance ในประเทศไทยในช่วงปี 2020-2024 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 148,096 ล้านบาท (รูปที่ 3) หรือเฉลี่ยประมาณ 29,619 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ adaptation financing needs สำหรับประเทศไทยซึ่งประมาณการไว้โดย UNESCAP (2025b) และ Kaendera et al. (2022) ซึ่งอยู่ที่ 165,000-192,043 ล้านบาทต่อปี พบว่า adaptation finance ในประเทศไทยคิดเป็นประมาณ 15-18% ของ adaptation financing needs ของประเทศไทย และหากเปรียบเทียบ adaptation finance กับมูลค่าความสูญเสียจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 0.9-1 ล้านล้านบาทต่อปี UNESCAP (2025b) พบว่าคิดเป็นประมาณ 3% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันประเทศไทยยังคงเผชิญกับช่องว่างทางการเงิน (financing gaps) ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ


จากรูปที่ 3 การติดตาม adaptation finance ในประเทศไทยภายใต้เครื่องมือ adaptation finance tracker นำเสนอในรูปแบบของแผนภูมิแซงกี้ (Sankey chart) ซึ่งแสดงการจัดสรรทรัพยากร เช่น งบประมาณ หรือเงินทุน ตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทาง ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์การจัดสรร adaptation finance ในระดับประเทศ โดยความกว้างของเส้นใน Sankey chart สะท้อนขนาดของเงินทุนที่ได้รับการจัดสรร ทำให้สามารถระบุได้ว่าโครงการในสาขาหรือสาขาย่อยใดได้รับการจัดสรร adaptation finance มากที่สุด นอกจากนี้ Sankey chart ยังช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถระบุช่องว่างทางด้าน adaptation finance ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปที่ 3 ชี้ให้เห็นว่างบประมาณของรัฐบาลกลาง เป็นแหล่งที่มาของ adaptation finance ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทยในช่วงปี 2020-2024 โดยหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมูลค่า143,047 ล้านบาท (97%) รองลงมาคือกองทุนสภาพภูมิอากาศพหุภาคี (multilateral climate funds) 2,589 ล้านบาท (2%) รัฐบาลท้องถิ่น 1,467 ล้านบาท (1%) สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา (national DFI) 603 ล้านบาท (0.4%) และสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาแบบพหุภาคี (multilateral DFI) 384 ล้านบาท (0.3%)
หากพิจารณาในมิติของสาขาและสาขาย่อยที่ได้รับการจัดสรร adaptation finance พบว่ามีการจัดสรรเงินทุนไปยังสาขาน้ำและสุขาภิบาลโดยเฉพาะสาขาย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำสูงที่สุด มูลค่า 106,968 ล้านบาทหรือคิดเป็น 72% ของ adaptation finance ทั้งหมด รองลงมาคือสาขาเมืองและการตั้งถิ่นฐานโดยเฉพาะสาขาย่อยการวางผังเมือง 17,533 ล้านบาท(12%) เกษตร อาหาร และป่าไม้ โดยเฉพาะสาขาย่อยการปลูกพืช 9,726 ล้านบาท (7%) ระบบนิเวศโดยเฉพาะสาขาย่อยระบบนิเวศน้ำจืด 6,114 ล้านบาท (4%) และโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะการขนส่งทางบก 2,958 ล้านบาท (2%)
ในช่วงปี 2020–2024 ประเทศไทยมีการจัดสรร adaptation finance จำนวนมากให้แก่โครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในสาขาการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันภัยพิบัติ โครงการที่ได้รับงบประมาณสูงสุด 4 อันดับแรก ได้แก่
- โครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ ซึ่งดำเนินการโดยกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณรวมทั้งสิ้น 41,379.90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28% ของ adaptation finance ทั้งหมดของประเทศไทย โครงการนี้มุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากน้ำ
- โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและขยายพื้นที่ชลประทาน ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เช่นกัน มีวงเงินรวม 29,677.5 ล้านบาท หรือประมาณ 20% ของ adaptation finance ทั้งหมดของประเทศไทย มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำเพื่อรองรับความผันผวนของปริมาณน้ำฝน บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกรจากปัญหาการขาดแคลนน้ำ
- โครงการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน ซึ่งดำเนินการโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้รับการจัดสรรเงินทุนรวม 16,910.8 ล้านบาท หรือ 11.4% ของ adaptation finance ของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ในการลดผลกระทบจากน้ำท่วมต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย
- โครงการคลองผันน้ำบางบาล–บางไทร ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 13,055 ล้านบาท หรือ 8.8% ของ adaptation finance ของประเทศไทย เป้าประสงค์สำคัญของโครงการนี้เพื่อบริหารจัดการน้ำหลากและลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
5 ช่องว่างที่สำคัญเกี่ยวกับ adaptation finance ในประเทศไทย
หากพิจารณาที่มาของ adaptation finance และลักษณะโครงการด้านการปรับตัวฯ ในประเทศไทยที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามี 5 ช่องว่างที่สำคัญดังนี้
ช่องว่างที่ 1: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวยังมีค่อนข้างจำกัด
แหล่งเงินทุนสำหรับ adaptation finance ที่สำคัญในประเทศไทยคืองบประมาณของรัฐบาลกลาง และโครงการด้านการปรับตัวที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนสูงสุดเป็นโครงการเกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะของโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (grey infrastructure)[4] ไม่ค่อยมีโครงการในรูปแบบของโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (green infrastructure) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based solutions) เท่าใดนัก ยกเว้นโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำและโครงการปลูกพืชคลุมดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบอนุรักษ์ดินและน้ำและป้องกันปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน ตัวอย่างโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น พื้นที่เขียวในเมือง ระบบชะลอน้ำฝนตามธรรมชาติหรือสวนฝน (rain garden) ระบบหลังคาเขียว (green roof) การฟื้นฟูป่าชายเลน เป็นต้น
ช่องว่างที่ 2: การลงทุนด้านระบบทางสังคม (social systems) ได้รับเงินทุนสนับสนุนที่ค่อนข้างน้อย
โครงการปรับตัวฯ ในสาขาระบบทางสังคมได้รับจัดสรร adaptation finance ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะ 1) การลงทุนด้านการจ้างงานและการดำเนินชีวิต 2) การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และ 3) การศึกษา ข้อมูล และองค์ความรู้ ซึ่งการลงทุนในโครงการปรับตัวฯ ในสาขาย่อยเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความยืดหยุ่นและภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate resilience)
- การลงทุนด้านการจ้างงานและการดำเนินชีวิต เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมีความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ เช่น การสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นการปลูกพืชแบบผสมผสาน
- การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เช่น การจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อลดความสูญเสียของภัยธรรมชาติและสภาพอากาศสุดขั้วต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อีกทั้งช่วยลดภาระงบประมาณในการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติอย่างมีนัยสำคัญ
- การลงทุนในด้านการศึกษา การพัฒนาฐานข้อมูล และการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวฯ เป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้สามารถตัดสินใจและวางแผนการปรับตัวฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
ช่องว่างที่ 3: แหล่งเงินทุนจากภาคเอกชนยังมีบทบาทค่อนข้างน้อยในการสนับสนุนการปรับตัวฯ ในประเทศไทยในระยะที่ผ่านมา
แหล่งเงินทุนด้าน adaptation finance ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐ โดยเฉพาะงบประมาณของรัฐบาลกลาง ขณะที่บทบาทของภาคเอกชน ทั้งในส่วนของสถาบันการเงินและตลาดทุน ยังมีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านการปรับตัวฯ ในระดับที่จำกัด ซึ่งแตกต่างจากด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ภาคเอกชนมีบทบาทมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมีความกังวลว่าโครงการด้านการปรับตัวฯ ส่วนใหญ่มักเน้นผลลัพธ์ในระยะยาวและมุ่งสร้างประโยชน์สาธารณะมากกว่าผลตอบแทนทางการเงินแก่เอกชนรายใดรายหนึ่ง เช่น การลดความเปราะบางของชุมชนหรือระบบสาธารณูปโภคต่อสภาพอากาศสุดขั้ว ทำให้ยากหรือไม่เหมาะสมต่อการวิเคราะห์กระแสเงินสด (cash flow) และการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนในแบบที่สถาบันการเงินต้องการ อีกทั้ง สถาบันการเงินหลายแห่งยังขาดเครื่องมือหรือความรู้ในการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโครงการด้านการปรับตัวฯ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากโครงการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีโมเดลธุรกิจและผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุน (อาทิ จากการประหยัดค่าใช้จ่าย) ที่ชัดเจนกว่า
สุดท้าย แหล่งเงินทุนในไทยโดยรวมยังดำเนินงานอย่างเป็นเอกเทศจากกัน ขาดการประสานงานกันเพื่อออกแบบโครงสร้างทางการเงินในลักษณะที่ผสมผสานระหว่างแหล่งทุนภาครัฐและแหล่งทุนภาคเอกชน (blended finance) เพื่อให้สามารถร่วมกันลงทุนในโครงการปรับตัวฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ (risk appetite) ตลอดจนชนิดและระดับผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวังของแหล่งทุนแต่ละแหล่ง
ช่องว่างที่ 4: เครื่องมือทางการเงินที่สนับสนุนโครงการด้านการปรับตัวฯ ในประเทศไทยยังค่อนข้างจำกัด
งบประมาณของภาครัฐยังเป็นเครื่องมือทางการเงินหลักที่สนับสนุนโครงการด้านการปรับตัวฯ ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีบางโครงการด้านการปรับตัวโดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่มีการระดมทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ เช่น หุ้นกู้สีเขียว แต่การใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อสนับสนุนโครงการด้านการปรับตัวฯ ในบริบทของประเทศไทยยังมีข้อจำกัดหลายประการ
ประการแรก เครื่องมือทางการเงิน อาทิ พันธบัตรสีเขียวและหุ้นกู้สีเขียว ที่ออกโดยภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทยส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่โครงการด้านพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน หรือกิจกรรมอื่นที่มีวัตถุประสงค์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่โครงการด้านการปรับตัวฯ ยังมีสัดส่วนที่น้อยมากในการได้รับการสนับสนุนจากเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้
ประการที่สอง ความท้าทายสำคัญคือ การขาดมาตรฐานการจัดหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ (taxonomy) สำหรับโครงการปรับตัวฯ ที่ชัดเจน เพื่อชี้ชัดว่าโครงการลักษณะใดเข้าข่ายเป็นโครงการที่สามารถได้รับจัดสรรเงินทุนได้ โดยข้อจำกัดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความท้าทายในการออกแบบเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินเฉพาะด้านสำหรับระดมเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการปรับตัวฯ ในประเทศไทย
ช่องว่างที่ 5: ข้อจำกัดด้านข้อมูลและตัวชี้วัดเกี่ยวกับโครงการด้านการปรับตัวฯ
การขาดตัวชี้วัดด้านความคุ้มค่าในการลงทุนและผลลัพธ์ด้านการปรับตัว (adaptation outcomes) ที่ชัดเจนและสามารถใช้ได้จริง ในทางปฏิบัติ เป็นอีกหนึ่งข้อจำกัดที่สำคัญของระบบ adaptation finance ในประเทศไทย การประเมินความคุ้มค่าและความเสี่ยงของโครงการปรับตัวฯ ยังขาดแนวทางที่ชัดเจน เนื่องจากโครงการปรับตัวฯ มักมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาว แต่กลับไม่มีตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่สามารถสะท้อนผลตอบแทนจากการลงทุน (return on investment) หรือประสิทธิภาพของการใช้เงินทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในขณะเดียวกัน การขาดข้อมูลที่ครอบคลุมและทันสมัยเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการวางแผนและประเมินโครงการปรับตัวฯ ซึ่งจำเป็นต้องมีข้อมูลในลักษณะของ geospatial และข้อมูลความถี่-ความรุนแรงของเหตุการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศในระดับท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการออกแบบโครงการที่ตอบสนองความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันข้อมูลลักษณะนี้ในประเทศไทยยังมีความกระจัดกระจาย ไม่มีการรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ และไม่สามารถเข้าถึงได้โดยกว้าง การขาดข้อมูลและตัวชี้วัดที่เหมาะสมเหล่านี้ ทำให้ทั้งหน่วยงานรัฐและสถาบันการเงิน ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงและประสิทธิภาพของโครงการได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้การตัดสินใจด้านการจัดสรรงบประมาณ การออกแบบกลไกทางการเงิน หรือการระดมทุนจากแหล่งทุนภายนอกเป็นไปอย่างจำกัด
มองไปข้างหน้า
บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ adaptation finance tracker ในประเทศในการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของ adaptation finance โดยช่วยระบุแหล่งที่มาและการใช้จ่ายของเงินทุนได้อย่างเป็นระบบ ทำให้การติดตามและรายงานผลมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังช่วยประเมิน adaptation financing gap นอกจากนี้ adaptation finance tracker ยังเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ให้เงินทุนสนับสนุนระหว่างประเทศและนักลงทุนภายในประเทศว่ามีการจัดสรร adaptation finance เพื่อสนับสนุนโครงการด้านการปรับตัวฯ อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี adaptation finance tracker ยังมีข้อจำกัดหลายประการ
- ประการที่หนึ่ง การขาดระบบการจัดประเภทข้อมูลที่เป็นมาตรฐานกลางและได้รับการยอมรับ เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มี adaptation taxonomy
- ประการที่สอง การขาดข้อมูลและรายละเอียดที่เปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับสินเชื่อที่สถาบันการเงินปล่อยให้กับโครงการด้านการปรับตัวฯ โดยในปัจจุบัน ข้อมูลสินเชื่อจากสถาบันการเงินมักไม่มีการระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าเป็นไปเพื่อการปรับตัวฯ หรือไม่ อีกทั้งยังไม่มีข้อกำหนดให้มีการรายงานหรือจัดประเภทสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ
- ประการที่สาม การดำเนินโครงการปรับตัวฯ มักเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นหรือระดับชุมชน และอาจพึ่งพาแหล่งเงินทุนที่ไม่ได้ผ่านระบบสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม เช่น สหกรณ์ ชุมชน หรือกลไกทางเลือกอื่น ๆ รวมถึงนักลงทุนสถาบันที่เน้นผลลัพธ์ทางสังคม (impact investors) รวมถึงมูลนิธิและองค์กรการกุศลต่าง ๆ ซึ่งขาดระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน
ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์ภาพรวมของการจัดสรรและการใช้จ่ายด้าน adaptation finance ในระดับประเทศ คณะผู้วิจัยเชื่อว่าในอนาคตหากสามารถปิดช่องว่างด้านข้อมูลข้างต้นจะทำให้ adaptation finance tracker มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น
สุดท้ายนี้ คณะผู้วิจัยอยากผลักดันให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องมีความพยายามที่จะดำเนินการ เช่น การกำหนดให้มีการจัดทำ taxonomy สำหรับการจัดหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจและโครงการด้านการปรับตัวฯ การกำหนดให้สถาบันการเงินจัดประเภทสินเชื่อสีเขียว ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวฯ และรายงานจำนวนสินเชื่อสีเขียวแยกรายประเภทตาม taxonomy ที่กำหนดขึ้นเพิ่มเติม รวมถึงการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับการประเมินผลลัพธ์จากโครงการปรับตัวฯ และลักษณะของโครงการปรับตัวฯ ที่มีประสิทธิผล และโครงการปรับตัวฯ ที่สร้างผลกระทบเชิงลบมากกว่าบวก (maladaptation) ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถติดตามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ adaptation finance ในประเทศไทยได้ดีขึ้น
ดูข้อมูล Climate adaptation finance tracker เพิ่มเติม ได้ที่: https://climatefinancethai.com/tracker/adaptation/
เอกสารอ้างอิง:
- Kaendera, S., Zhunussova, K., Stepanyan, A., Lan, T., Rawat, U., Sy, M., & Garrido, J. (2022). Thailand: Selected Issues. International Monetary Fund.
- Institute, S. R. (2021). The Economics of Climate Change: Impacts for Asia.
- Tailwind. (2024). Taxonomy for Climate Adaptation and Resilience Activities.
- UNESCAP. (2025a). South-East Asia (SEA) Adaptation Cost.
- UNESCAP. (2025b). Risk and Resilience Portal: Thailand.
- การประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจนี้ไม่ได้รวมเหตุการณ์ภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลังจากปี 2022 ↩︎
- RCP8.5 (Representative Concentration Pathway 8.5) เป็นหนึ่งในภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใช้ในแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ IPCC โดยตัวเลข 8.5 หมายถึง การเพิ่มขึ้นของ radiative forcing ที่ระดับ 8.5 วัตต์ต่อตารางเมตร (W/m²) ภาพฉาย RCP8.5 มักถูกเรียกว่าเป็น “high emissions scenario” ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์ที่ไม่มีการดำเนินนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นกรณีที่แสดงถึง ผลกระทบสูงสุด ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีการดำเนินนโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ↩︎
- หนึ่งหลักการที่สำคัญที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือการไม่นับรวมธุรกรรมที่ไม่ใช่การลงทุนใหม่ เช่น การรีไฟแนนซ์ การซื้อขายในตลาดรอง หรือการเปลี่ยนเจ้าของสินทรัพย์เดิม ทั้งนี้ กรณีที่เป็นโครงการระยะยาว เครื่องมือติดตามฯ จะบันทึกยอดรวมในปีที่มีการตัดสินใจลงทุน ↩︎
- Grey infrastructure คือโครงสร้างพื้นฐานที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยใช้วัสดุแบบดั้งเดิม เช่น คอนกรีต เหล็ก ฯลฯ เพื่อจัดการกับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างของ grey infrastructure ได้แก่ เขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ระบบระบายน้ำ กำแพงกันคลื่น ฯลฯ ↩︎
คณะผู้เขียน:
- กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์, สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
- สฤณี อาชวานันทกุล, เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
- ธนิดา ลอเสรีวานิช, เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
- นวพรรษ จันทร์กระจ่าง, เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
- ปาริชาต สุขนาค, เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
- ถลัชนันท์ ตันติเวชวุฒิกุล, นักวิจัยอิสระ