อยากให้ยักษ์ใหญ่มาลงทุน แต่ระบบไฟฟ้าไทย ‘เขียว’ พอแล้วหรือยัง?

Share

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม หลายคนคงผ่านตาข่าวฮือฮาว่าด้วยการมาเยือนประเทศไทยของ สัตยา นาเดลลา ผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก Microsoft พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะมาลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย และพัฒนาศักยภาพชาวไทยให้พร้อมใช้งานเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์

ข่าวดังกล่าวนับเป็นแสงแห่งความหวังของใครหลายคน ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญหน้ากับทางตัน เพราะหวังพึ่งพาสารพัดอุตสาหกรรมยุคเก่า โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เป็น ‘เดอะแบก’ ของเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ทั้งรถยนต์สันดาปที่กำลังเผชิญภัยคุกคามจากยานยนต์ไฟฟ้า และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (Hard Disk Drive) ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีโซลิดสเตตไดรฟ์ (Solid State Drive) และการเก็บข้อมูลในคลาวด์ ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในเทคโนโลยีดาวรุ่ง ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือเซมิคอนดักเตอร์ถูกผันไปยังประเทศข้างเคียง

น่าเสียดายที่จวบจนปัจจุบันเรายังไม่เห็นตัวเลขเม็ดเงินลงทุนที่ชัดเจนจาก Microsoft แตกต่างจากแผนการลงทุนของในประเทศอื่นๆ แถบเอเชียที่ไมโครซอฟต์ประกาศตัวเลขชัดเจน เช่น แผนการลงทุนในอินโดนีเซีย มูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในประเทศมาเลเซีย มูลค่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำไปสู่คำถามว่า เพราะเหตุใด Microsoft จึงไม่ประกาศตัวเลขของประเทศไทย

สำนักข่าว THE STANDARD WEALTH สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญสองท่านที่เสนอ 2 ความไม่พร้อมของประเทศไทย ประกอบด้วยความไม่พร้อมด้านแรกคือนโยบาย ความไม่พร้อมด้านที่สองคือแรงงาน ส่วนในบทความนี้ ผมขอเสนอความไม่พร้อมด้านที่สาม คือการผลิตไฟฟ้าของไทยที่อาจยังไม่ ‘เขียว’ พอจะดึงดูดยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟต์

เมื่อเหล่ายักษ์ใหญ่ต้องการใช้พลังงาน ‘เขียว’

ในวันที่ประเทศไทยตื่นเต้นกับเม็ดเงินลงทุนก้อนใหม่จาก Microsoft ทั่วโลกก็ตื่นตากับ ‘ซุปเปอร์ดีล’ ของ Microsoft ที่ทำสัญญาสนับสนุนการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนแห่งใหม่ทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 10.5 กิกะวัตต์ หรือคิดเป็นราว 30 เท่าตัวของกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย เป้าหมายของซุปเปอร์ดีลดังกล่าวมี 2 ประการ หนึ่งคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัท และสองคือการเตรียมพร้อมสำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงลิ่วจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

Microsoft ประกาศความมุ่งมั่นในการทำให้บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกติดลบภายในปี 2030 หมายความว่า การดำเนินงานของบริษัทโดยรวมจะทำงานเหมือนต้นไม้ที่คอยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ โดยจะรับผิดชอบคาร์บอนทั้งหมดในอดีตที่บริษัทปล่อยไว้ในชั้นบรรยากาศทั้งหมดภายในปี 2050

ความมุ่งมั่นด้านภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องแปลกในหมู่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Apple และ Google เองก็ตั้งเป้าว่าจะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ภายในปี 2030 ด้าน Amazon ประกาศว่า จะบรรลุเป้าหมายเดียวกันในปี 2040 ดังนั้น พลังงานคาร์บอนต่ำปริมาณมากเพียงพอ และระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นเงื่อนไขประกอบที่ขาดไม่ได้ในการเลือกประเทศปลายทางที่จะลงทุน

ปัจจุบันหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ภายในปี 2050 ส่วนอินโดนีเซียกำหนดเป้าหมายที่ปี 2060 ขณะที่ไทยรั้งท้ายในอาเซียน โดยตั้งเป้าไว้ที่ 2065 สะท้อนภาพว่าความมุ่งมั่นด้านภูมิอากาศของประเทศไทยอาจไม่สอดคล้องนักกับความต้องการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

หนึ่งในความท้าทายต่อเป้าหมายด้านภูมิอากาศของเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่คือเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ และการประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ที่ใช้ไฟฟ้ามหาศาล องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) คาดการณ์ว่าศูนย์ข้อมูลทั่วไป รวมถึงที่ใช้สำหรับปัญญาประดิษฐ์ และคริปโตเคอร์เรนซี จะต้องการพลังงานสูงถึง 800 เทระวัตต์ชั่วโมงในปี 2026 (ประมาณ 4 เท่าตัวของการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยเมื่อปี 2022) คิดเป็นการเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี

ศูนย์ข้อมูลต้องการไฟฟ้าที่เสถียร หมายความว่า ต่อให้ลมไม่พัดและพระอาทิตย์ไม่ส่องแสง ก็ต้องจัดหาไฟฟ้าปลอดคาร์บอนมาป้อนเข้าสู่ระบบให้ได้ เท่ากับว่าประเทศปลายทางที่ต้องการเงินลงทุนจะต้องจัดเตรียมระบบสายส่งอัจฉริยะ ที่สามารถรับมือกับอุปทานไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ผันผวน ระบบแบตเตอรี่เพื่อสำรองไฟฟ้า รวมถึงการบริหารจัดการความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอย่างเหมาะสม

จับตาแผนพลังงานชาติ ชี้ชะตาอนาคตเศรษฐกิจไทย

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา วัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ระบุว่า แผนพลังงานชาติฉบับใหม่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2037 นับว่าก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับแผนเดิมที่ราว 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่แผนฉบับดังกล่าวก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้เห็นว่าตัวเลขจริงที่ปรากฏในแผนคือเท่าไรกันแน่

หากไทยประกาศเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 50 เปอร์เซ็นต์จริง ก็อาจพอใจชื้นได้ว่าผู้นำของเรามีวิสัยทัศน์และพร้อมเปิดรับการเปลี่ยนแปลง แต่หากยังคงแผนเดิมและพึ่งพาก๊าซเป็นหลักเฉกเช่นปัจจุบัน ก็คงต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าประเทศไทยคงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ล้าสมัยและสิ้นประโยชน์

ประเทศไทยเคยภาคภูมิใจกับการครองอันดับหนึ่งในฐานะประเทศที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จนกระทั่งในปี 2018 ถูกเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามแซงหน้าไปขาดลอย โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อปี 2023 เวียดนามมีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สูงกว่าประเทศไทยเกือบ 6 เท่าตัว ส่วนหนึ่งเพราะกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ของไทยแทบไม่ขยับไปไหน

ส่วนในแง่การรักษาความเสถียรของระบบไฟฟ้า เมื่อเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นหลักก็มีทางออกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (pumped hydro storage) ซึ่งประเทศไทยเป็นเบอร์หนึ่งของภูมิภาค โดยมีกำลังผลิตสูงถึง 1 กิกะวัตต์ ระบบดังกล่าวคือการเปลี่ยนอ่างเก็บน้ำให้เปรียบเสมือนแบตเตอรี่ขนาดยักษ์ ที่จะสูบน้ำเข้าสู่อ่างเก็บน้ำในช่วงที่ไฟฟ้าล้นระบบ และปล่อยน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าในช่วงที่พลังงานไม่เพียงพอ

แต่บัลลังก์แชมป์ก็อาจอยู่อีกไม่นาน หากแผนพัฒนาพลังงานชาติฉบับใหม่ไม่เร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเพิ่มเติม เพราะเวียดนามเองก็มีแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับที่มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 3 กิกะวัตต์เร็วๆ นี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ผู้เขียนมองว่า ทางเลือกนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะเทรนด์โลกชัดเจนว่าเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องการพลังงานสะอาด และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตอาจ ‘ไม่ฟรี’ อีกต่อไป เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism) ยังไม่นับว่าต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่ตอนนี้ต่ำจนสามารถแข่งขันได้กับเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า แผนพลังงานชาติที่กำลังจะคลอดคือการ ‘ชี้ชะตา’ อนาคตของเศรษฐกิจไทย ว่าเราจะกล้าเปลี่ยนเพื่อให้ทันต่อเทรนด์โลก หรือเดินหน้าตามความคุ้นชินเดิม และเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกผ่านเว็บไซต์ Thairath Online

อ่านเพิ่มเติม:

Microsoft made the biggest renewable energy agreement ever to fuel its AI ambitions

Microsoft will be carbon negative by 2030

Big tech’s great AI power grab

Thailand Power System Flexibility Study

Boom in data centers challenges clean power goals in Asia

รพีพัฒน์ เป็นนักเขียนและนักแปลอิสระด้านการเงิน เขาจบปริญญาโทด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมวิจัยประจำ CFNT รวมถึงเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์